เอร์เนสโต้ เกบาร่า หรือที่เรียกสั้นๆว่า เช เกิดที่โรซาริโอ อาร์เจนตินา เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.1928 เช สนใจเรื่องความยากจนและการเมืองแนวซ้ายมาตั้งแต่เล็ก เชเป็นเด็กเรียนดี เฉลียวฉลาดเก่งกาจในด้านกีฬาหลายประเภทได้แก่ ฟุตบอล จักรยาน ว่ายน้ำ ยิงปืน กอล์ฟ และรักบี้ และเป็นคนรักการอ่าน โดยบ้านของเขามีหนังสือถึงกว่า 3,000 เล่ม
ปี 1948 เชเข้าเรียนแพทยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยบูเอโนส ไอเรส และในปี 1950 ด้วยความกระหายที่จะสำรวจโลก เขาได้เดินทางโดยจักรยานยนต์คนเดียวเป็นระยะทางถึง 4,500 กิโลเมตรไปทางตอนเหนือของอาร์เจนตินา และในปีต่อมาก็เดินทางอีกครั้งเป็นระยะทางถึง 8,000 กิโลเมตรไปทั่วอเมริกาใต้จากนั้นก็บินไปยังไมอามี่ สหรัฐอเมริกา ก่อนกลับมาที่บูเอโนส ไอเรส แล้วได้ศึกษาต่อจนจบแพทยศาสตร์บัณฑิตในปี 1953
การเดินทางทั้งสองครั้งทำให้เขารู้สึกเศร้าและสะเทือนใจกับความยากจนข้นแค้น ความอดอยากและโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และเด็กๆที่ต้องล้มตายเพราะไม่มีเงินรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เชจึงคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือคนเหล่านี้ เขาคือว่าแนวคิดแบบมาร์กซิสต์นี้จะช่วยเหลือให้ประชาชนพ้นจากความยากจนข้นแค้นได้ เขาปรารถนาจะทำลายล้างสิ่งที่เขามองว่าเป็นการขูดรีดของทุนนิยม จึงตัดสินใจเดินหน้าเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเต็มตัว
เดือน ธ.ค. 1953 เชพยายามเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการปฏิรูปสังคมในประเทศกัวเตมาลาภายใต้รัฐบาลฮาโกโบ กุซมัน ซึ่งมีนโยบายปฏิรูปยึดคืนที่ดินจากเจ้าของที่ดินรายใหญ่ในประเทศ แต่การที่กุซมันไปยึดที่ดินของบริษัทยูไนเต็ดฟรุ๊ต บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านผลไม้ของสหรัฐฯที่ครองที่ดินมากมายในกัวเตมาลา ทำให้ซีไอเอได้ทำการสนับสนุนให้กองทัพยึดอำนาจกุซมันในเวลาต่อมา เชพยายามชักชวนให้ต่อต้านการยึดอำนาจแต่ไม่มีใครร่วมกับเขา เขาจึงต้องไปหลบในสถานทูตอาร์เจนตินาในกัวเตมาลาก่อนจะเดินทางไปเม็กซิโกในเวลาต่อมา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้อุดมการณ์ทางการเมืองของเชแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ที่เม็กซิโก เชได้พบกับสองพี่น้องราอูลและฟิเดล คาสโตร และได้เข้าร่วมขบวนการ 26 กรกฎาคม โดยมีจุดมุ่งหมายโค่นล้มประธานาธิบดีฟุลเจนซิโอ บาติสต้า ผู้นำเผด็จการคิวบาที่สหรัฐฯหนุนหลังอยู่ ซึ่งสุดท้ายก็ก่อการปฏิวัติคิวบาได้สำเร็จโค่นล้มบาติสต้าได้ในเดือน ม.ค. 1959
หลังจากปฏิวัติคิวบา เชเข้าไปมีบทบาทสำคัญหลายอย่างในรัฐบาลใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมพิจารณาคดีในศาลการปฏิวัติ และ พิพากษาให้ผู้ต้องโทษอาชญากรสงคราม ด้วยการยิงเป้าโดยทหาร เริ่มดำเนินการปฏิรูปที่ดินการเกษตรในฐานะรัฐมนตรีอุตสาหกรรม เป็นหัวหอกในการรณรงค์เพื่อการรู้หนังสือทั่วประเทศซึ่งก็ประสบผลสำเร็จ ปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติและผู้อำนวยการฝึกสอนให้แก่กองทัพคิวบา และเดินทางไปทั่วโลกในฐานะผู้แทนทางทูตจากสังคมนิยมคิวบา นอกจากนี้เชยังเป็นนักจดบันทึกและนักเขียนที่ผลิตผลงานออกมาจำนวนมาก โดยเขียนคู่มือปฏิบัติการรบแบบกองโจรซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อเหตุการณ์ภายหน้า ร่วมกับบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับการเดินทางไปทั่วทวีปด้วยจักรยานยนต์ในวัยหนุ่มของเขา ประสบการณ์ชีวิตและความรู้เกี่ยวกับลัทธิมากซ์-เลนินนำพาให้เขาสรุปว่าความด้อยพัฒนาและการตกอยู่ในภาวะพึ่งพาของโลกที่สามเป็นผลที่แท้จริงจากจักรวรรดินิยม ลัทธิอาณานิคมแนวใหม่ และทุนนิยมผูกขาด ทางเยียวยามีเพียงทางเดียวคือการใช้แนวคิดสากลนิยมของชั้นชนกรรมาชีพและการปฏิวัติโลก
เชออกจากคิวบาในปี 1965 เพื่อจะก่อให้เกิดการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ในประเทศอื่นอีก ครั้งแรกในคองโก-กินชาซาหรือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนคองโก แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เชจึงเดินทางกลับคิวบาเพื่อพบฟิเดล คาสโตรและภรรยาอีกครั้งก่อนจะเดินทางไปยังโบลิเวีย ซึ่งนี่คือการกลับคิวบาครั้งสุดท้ายของเขาเมื่อมีชีวิต
พ.ย.1966 เชเดินทางโดยใช้ชื่อปลอมมายังกรุงลา ปาซ เมืองหลวงของโบลิเวีย จากนั้นก็เดินทางไปซ่องสุมกำลังในชนบท แล้วเริ่มจู่โจมกองทัพโบลิเวียในต้นปี 1967 ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดีในช่วงแรก แต่เชประเมินผิดพลาดเขาคิดว่าเขาจะสู้กับเพียงแค่ทหารโบลิเวียที่มีอาวุธไม่ดีนักเท่านั้น แต่เขาไม่รู้ว่าในเวลานั้นสหรัฐฯได้ส่งหน่วยคอมมานโดกับซีไอเอเข้ามาในโบลิเวียเพื่อช่วยกวาดล้างกองกำลังของเขาและฝึกสอนทหารโบลิเวียด้วย และจากการที่เขาไม่ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านและพรรคคอมมิวนิสต์โบลิเวียมากนักทำให้กองโจรของเขาเริ่มถูกตีโต้กวาดล้าง
8 ต.ค.1967 เชถูกล้อมและจับกุมตัวและขังไว้ในตึกโรงเรียนแห่งหนึ่ง และขณะถูกจับ เชแม้จะถูกมัดก็ยังเตะทหารคนหนึ่งที่พยายามจะเข้ามาแย่งไปป์จากปากเขาขณะกำลังสูบเพื่อเอาไปเป็นที่ระลึกและถ่มน้ำลายใส่หน้านายพลคนหนึ่งที่พยายามจะรีดถามคำถามเขา
เช้าวันที่ 9 ต.ค. 1967 เชขอพบจูเลีย คอร์เตซ ครูวัย 22 ปีของโรงเรียนก่อนจะชี้ไปที่ตึกเรียนซึ่งมีสภาพแย่มากแล้วพูดว่า
"สภาพแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่เด็กๆจะเรียนหนังสือได้เต็มที่"
จากนั้นเชก็พูดเปรียบเทียบถึงบรรดาข้าราชการระดับสูงที่นั่งรถเมอร์เซเดส เบนซ์กันถ้วนหน้าพร้อมประกาศว่า
"นั่นคือสิ่งที่เราสู้ต่อต้าน"
แล้วในเช้าวันนั้น เรเน่ บาร์ริเอนตอส ประธานาธิบดีโบลิเวียก็ได้สั่งให้ประหารชีวิต เช เกบาร่า ทันที โดยผู้รับคำสั่งคือเฟลิกซ์ โรดริเกซ ชาวคิวบาที่แปรพักตร์ไปทำงานให้ซีไอเอ
ในเวลาต่อมาโรดริเกซจึงเข้าไปสอบถามเชว่ายังมีสมาชิกคนใดเหลืออยู่หรือไม่ แต่เชไม่ยอมตอบ โรดริเกซจึงให้ทหารโบลิเวียนำตัวเชออกไปถ่ายรูป (ซึ่งเป็นรูปสุดท้ายในชีวิต) ก่อนจะเอาตัวเชกลับเข้าไปในกระท่อม โรดริเกซได้บอกกับเชว่า
"นายจะถูกประหารนะ"
เชจึงถามกลับว่า
"นายเป็นคนอเมริกันเชื้อสายอะไร เม็กซิโกหรือเปอร์โตริโก ทำไมนายพูดสเปนไม่เหมือนคนโบลิเวียเลย"
เมื่อโรดริเกซตอบว่าเป็นคนคิวบาโดยกำเนิดแต่อพยพไปสหรัฐฯและทำงานให้ซีไอเอ เชถึงกับอึ้งและตะโกนว่า "หา!!" จากนั้นก็ไม่ยอมตอบคำถามใดๆอีกเลย
ทหารโบลิเวียอีกคนถามเชว่า
"นายคิดว่าตัวเองเป็นอมตะรึเปล่า"
"ไม่เลย ฉันคิดว่าการปฏิวัติต่างหากที่เป็นอมตะ"
เชตอบกลับ
เมื่อเพชฌฆาตเข้ามาในเต้นท์ เช ก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า
" ฉันรู้ว่าแกมาฆ่าฉัน เอาเลย ยิงสิ"
เพชฌฆาตจึงเล็งปืนแต่ก็เกิดลังเล เชจึงตะโกนว่า " ยิงสิไอ้ขี้ขลาด แกแค่กำลังจะฆ่าคนเท่านั้นเอง" ก่อนที่เขาจะถูกยิงทันทีหลังจากนั้น ศพของเขาถูกนำไปตัดมือตัดเท้าเพื่อป้องกันการค้นหา ก่อนจะถูกพบและนำไปฝังที่คิวบาในเวลาต่อมา