สาระสำคัญ

Tuesday, March 31, 2015

คดีเพชรซาอุ (ฉบับสมบูรณ์) ย้อนรอย เจาะเบื้องลึก 3 ตอน จบ



                          ป้าสมจิตอมเพชรซาอุฯ



เครดิตวิดีโอ นายข้าวเหนียว มะม่วง




สาระเชิงลึกโดย นายตำรวจเก่า

> เป็นเรื่องน่าเสียใจและน่าเศร้าใจเป็นอย่างมากว่า ตลอดระยะเวลาหลายเดือนของความขัดแย้งทางการเมือง การบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำลายฝ่ายตรงข้ามของกันและกัน ไม่ได้ถูกจำกัดวงอยู่เฉพาะประเด็นปัญหาทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางเศรษฐกิจ หรือความามยุติธรรมที่ไม่เท่าเทียมกันเท่านั้น แต่ยังได้ล่วงเกินข้ามเลยไปถึงการดึงสถาบันสูงสุดเข้ามาเกี่ยวข้องโดยไม่มีข้อเท็จจริงรองรับ สร้างความเข้าใจผิดและมีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความโกรธความเกลียดเพื่อบั่นทอนให้สถาบันสูงสุดอ่อนแอลง

 > มีเรื่องราวหลายประเด็นที่ถูกนำมากล่าวถึงโดยขาดพื้นฐานความจริงมาสนับสนุน นอกจากผู้พูดผู้เขียนนึกอยากจะเขียนอะไร พูดอะไร ก็ทำไปตามใจอยากทำ ไม่คำนึงว่าความจริงคืออะไร ขอให้ได้กล่าวร้ายโจมตีก็จะทำแล้ว ตัวอย่างของนายชูพงษ์ ถี่ถ้วน นายพิษณุ พรหมศร ในเว็บ นปช.ยูเอสเอ ที่กล่าวให้ร้ายสถาบันโดยปราศจากข้อเท็จจริง และกล้าที่จะทำอย่างนั้นอย่างต่อเนื่อง เพราะตระหนักดีว่า สถาบันสูงสุดไม่อยู่ในฐานะที่จะตอบโต้หรือชี้แจงอะไร 

> มิหนำซ้ำรัฐบาลหรือฝ่ายราชการ ก็ยังนิ่งเฉยเสีย อาจเพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องของตัว จะแกว่งเท้าไปหาเสี้ยนทำไม คนฟังคนอ่าน ที่ถูกยัดเยียดข้อมูลด้านเดียวมาตลอด ไม่เคยฟังข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่เป็นความจริง จึงหลงเชื่อหลงยึดติดอยู่กับข้อมูลเท็จดังกล่าว

 > ผมติดตามเรื่องเหล่านี้มานานพอสมควร ผมเห็นว่าไม่เป็นธรรมต่อสถาบัน มีคนนำเรื่องไม่จริงไปเผยแพร่ เจตนาเพื่อให้คนเกลียด สมาชิกในสถาบันจะอธิบายความจริงด้วยตัวเองก็ไม่ได้ คนที่มีหน้าที่รู้เรื่องเป็นอย่างดีก็ไม่ช่วยอธิบายให้ ก็คงต้องตกเป็นหน้าที่ของประชาชนคนเดินดินอย่างพวกเราที่ต้องออกมาทำหน้าที่เหล่านี้แทน > ผมก็เลยขออนุญาตนำบางเรื่องที่ผมมีข้อเท็จจริงอยู่บ้าง มาเล่าสู่กันฟังเพื่อผดุงรักษาความจริงไว้ให้สังคมได้รับรู้กันต่อไป

 > วันนี้ผมขอนำประเด็น เพชรซาอุ มาเล่าสู่กันฟังก่อน เพราะเป็นเรื่องใส่ร้ายสำคัญลำด้ทำกันมาต่อเนื่อง เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม ปี ๒๕๓๘ เมื่อนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ขโมยเครื่องเพชรจำนวนมากจากวังของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด (Prince Faisal bin Fahd bin Abdul Aziz) แล้วลักลอบนำเครื่องเพชรเข้ามาในไทยและจำหน่ายไปยังที่ต่างๆ ผลจากความร่วมมือของตำรวจไทยและทางการซาอุดิอารเบีย ทำให้จับกุมตัวนายเกรียงไกรได้ และได้เครื่องเพชรบางส่วนส่งกลับคืนเจ้าชายไฟซาลไป อาจมีปัญหาเรื่องจำนวนเครื่องเพชรที่หายไปได้คืนไม่ครบถ้วน เครื่องเพชรบางส่วนที่ส่งคืนเป็นของทำเลียนแบบ และมีการพูดกันเรื่อง เพชรบลูไดมอนด์ ไปอยู่ในความครอบครองของสุภาพสตรีในสังคมชั้นสูงบางคน ซึ่งทางตำรวจไทยและเจ้าชายไฟซาลได้ตรวจสอบสอบสวนเพิ่มเติมในทุกประเด็นจนปรากฏความจริงที่ชัดเจนและเป็นที่พอใจของทุกฝ่ายแล้ว  


> ประเด็นเพชรซาอุ ผมขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาเรื่องนี้อย่างละเอียดและรอบคอบว่า ตั้งแต่ทั้งสองฝ่ายตรวจสอบเรื่องเพชรจนได้ความจริงแล้ว ราชสำนักและทางการซาอุดิอาระเบียไม่เคยตำหนิ กดดัน หรือเรียกร้องทางการไทยในเรื่องเพชรซาอุอีกเลย ประเด็นที่เป็นปัญหาความสัมพันธ์จนถึงปัจจุบันไม่ใช่เรื่องเพชรซาอุ แต่เป็นเรื่องการหายตัวไปของนายลูไวรี นักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเขาเชื่อว่าเสียชีวิตแล้วโดยการสังหารของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยที่มีนายตำรวจระดับผู้บัญชาการภาคในปัจจุบันคนหนึ่งเป็นผู้บงการ แต่ไม่ถูกจับกุม แถมยังได้รับการส่งเสริมให้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งสูงข ึ้น ตรงนี้สำคัญเพราะเมื่อซาอุไม่ติดใจสงสัยก็หมายความว่าไม่มีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่ใต้พรมอีกต่อไป ทุกอย่างควรจบลงไปนานแล้ว แต่กลับไม่จบ  

> อะไรคือสาเหตุที่เรื่องเพชรไม่จบ ตอบได้ว่าหลังจากการยึดอำนาจเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างคุณทักษิณกับฝ่ายตรงข้ามทวีความรุนแรงเป็นลำดับ โดยเฉพาะการกล่าวหาสถาบันอยู่เบื้องหลังเรื่องดังกล่าวด้วย เรื่องเพชรบลูไดมอนด์ ถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของคนบางกลุ่ม โดยมีเจตนาทำให้คนรากหญ้าเชื่อว่าเพชรบลูไดมอนด์ตกอยู่ในความครอบครองของบุคคลในสถาบัน เพื่อทำให้คนเกลียดสถาบันซ้ำมากขึ้นไปอีก ในประเด็นไม่เพียงแต่อยู่เบื้องหลังโค่นล้ม ทักษิณแล้ว ยังมีกรณีเพชรซาอุเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทั้งเอาไปแต้มสีต่อว่า คุณทักษิณถูกโค่นล้มจากอำนาจเพราะว่า พยายามนำเพชรบลูไดมอนด์กลับคืนสู่ซาอุ เพื่อคนอิสานจะได้กลับเข้าไปทำงานที่ซาอุดิอาระเบียได้เหมือนเดิม

 > เรื่องเพชรบลูไดมอนด์ ถูกหยิบยกขึ้นมาจากสื่อประเทศไทยฝ่ายเดียวตั้งแต่เริ่มมีเรื่องนายเกรียงไกรใหม่ๆ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรัตน์ ผช.อตร.เจ้าของคดี ทราบเรื่องนี้ดีเพราะเป็นถามสื่อมวลชนเอง ว่า ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน ตนไม่เคยได้ยินหรือเห็นมาก่อนเลย จากนั้นก็มีการไปเอารูปภริยาอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้นใน น.ส.พ. ฉบับหนึ่งสวมสร้อยคอที่มีจี้เป็นรูปคล้ายอัญญมณีสีน้ำเงินล้อมเพชรและทอง ปรากฏตัวในงานเลี้ยงงาน หนึ่ง แล้วก็ลือกันตามมาว่าเป็นเพชรบลูไดมอนด์ของเจ้าฟ้าชายไฟซอล  

> เรื่องนี้ได้มีการพิสูจน์กันสองทางคือ ประการแรกตำรวจได้ส่งภาพถ่ายดังกล่าวไปให้สถาบันอัญญมณีในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตรวจพิสูจน์ ได้ข้อยุติว่า วัตถุที่ว่าเป็นอัญมณีสีน้ำเงินแล้วอนุมานว่าเป็นนเพชรบลูไดมอนด์ ไม่ใช่เพชรหรืออัญญมณีแต่อย่างใด แต่เป็นวัตถุที่ทำด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มที่นำมาประดิษฐ์เข้าคู่กับเพชรและทอง ผลพิสูจน์นี้อยู่ ในสำนวนการสอบสวนของตำรวจ เพราะมีหนังสือตอบกลับมาอย่างเป็นทางการ ประการที่สอง บุตรชายของสุภาพสตรีท่านนั้นได้นำสร้อยและจี้ที่ปรากฏในภาพถ่ายมาแสดงต่อพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับผลตรวจพิสูจน์ของสถาบันในลอนดอน

 > ข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้อีกประการหนึ่งก็คือ ผลการสอบสวนนายเกรียงไกรพบว่า นายเกรียงไกรได้แบ่งเครื่องเพชรให้กับเพื่อนที่มีส่วนรู้เห็น ทั้งไม่รู้ด้วยว่าแบ่งเครื่องเพชรชนิดและประเภทใดให้เพื่อนไปบ้าง นอกจากนั้น เจ้าตัวมีความรู้เรื่องอัญญมณีน้อยมาก เมื่อนำเครื่องเพชรทั้งหมดกลับมาที่บ้านใน จ.ลำปาง ก็ได้ทำการแยกชิ้นส่วนเอาเพชรกับทองแยกออกจากกัน เพราะรู้จักแต่ทองว่ามีค่า โดยนำทองไปขายที่ร้านทองใน จ.แพร่ และ จ.ลำปาง ผลการสอบเจ้าของร้านทองก็ไม่ปรากฏว่าพบเห็นหรือรู้เรื่องเพชรบลูไดมอนด์ ส่วนเพชรนายเกรียงไกรก็ไม่รู้จัก รู้แต่ว่าเพชรมีความแข็งมากจึงลองทุบบางส่วนดู เม็ดไหนแตกก็ทิ้งไป เม็ดไหนไม่บุบสลายก็แยกไว้ แต่ไม่ได้ทุบไปเสียทั้งหมด จากนั้นได้นำเพชร พลอย อัญญมณีอื่นๆที่แยกออกจากทองแล้วไปฝังดินไว้บางส่วน บางส่วนทะยอยขายให้แก่นายสันติ ศรีธนขัณฑ์ เจ้าของร้านเพชรชื่อดัง ซึ่งบางส่วนถูกนำไปขายต่ออีกทอดโดยมี พล.ต.อ.คนหนึ่งซึ่งเป็น อดีต รอง ผบ.ตร.และชอบค้าของเก่าและของมีค่าร่วมมือกับนายสันติขายเพชรซาอุด้วย แต่หลักฐานสาวไปไม่ถึงจึงลอยนวลอยู่จนทุกวันนี้

 > การให้การของนายเกรียงไกรกรณีเพชรบลูไดมอนด์มีลักษณะไม่ชัดเจน เหมือนว่าขโมยมาแล้วขายให้นายสันติ แต่นายเกรียงไกรก็ไม่เคยยืนยันอย่างหนักแน่นกับพนักงานสอบสวนในเรื่องดังกล่าว เ นื่องจากไม่มีความมั่นใจ เพราะนำเครื่องเพชรออกมาเป็นจำนวนมากจนไม่สามารถจดจำรายละเอียดได้ครบถ้วน  

 > พนักงานสอบสวนและราชสำนักซาอุดิอาระเบียประมาณการณ์ว่า เพชรซาอุถูกขายไปประมาณ ๒๐ % ทั้งนายสันติ และภริยา ต่างยืนยันว่า ไม่เคยเห็นเพชรบลูไดมอนด์ ความตายของนางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ศรีธนขันฑ์ เป็นข้อพิสูจน์ได้ดีว่า ผู้รับซื้อเพชรซึ่งมีอยู่รายเดียวจากนายเกรียงไกร ต่างไม่เคยเห็นเพชรบลูไดมอนด์ มิฉะนั้นคงรับสารภาพและคืนให้ไปแล้วเมื่อเห็นความตายและความเดือดร้อนของตนเอง ครอบครัว และบุตรอยู่ตรงหน้า  

> ผลสรุปของการสอบสวนคดีเพชรซาอุ มีข้อยุติว่า ไม่มีใครที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยเคยเห็นเพชรบลูไดมอนด์อยู่ในเครื่องเพชรที่นายเกรียงไกรขโมยมา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเพชรบลูไดมอนด์ไม่เคยมีอยู่ในประเทศไทย การกล่าวหากล่าวอ้างว่าบุคคลนั้นบุคคลนี้ครอบครองเพชรบลูไดมอนด์ไว้ จึงไม่เป็นความจริง 

> ประการที่สองเจ้าชายหรือเจ้าหญิงของซาอุดิอาระเบียไม่รู้ว่าเครื่องเพชรที่ถูกขโมยมีชนิดหรือประเภทใดอย่างครบถ้วนเพราะเครื่องเพชรมีเป็นจำนวนมากที่อยู่ในครอบครองและที่ถูกขโมยมา ทั้งยอมรับว่าเครื่องเพชรที่ถูกขโมยมีทั้งของจริงและของปลอมที่ซื้อจากห้าง May Flower ซึ่งทำอัญญมณีประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงมาก ทั้งไม่ทราบว่าเครื่องเพชรอันใดเทียมหรือจริง ข้อตำหนิเรื่องส่งคืนเครื่องเพชรปลอมและไม่ครบถ้วนจึงสามารถทำความเข้าใจที่ชัดเจนได้ในเวลาต่อมา  

> ทั้งหมดนี้คือข้อเท็จจริง ผมเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ควรถูกใช้เป็นประเด็นกล่าวหาบุคคลในสถาบันสูงสุดของเราอีกเพื่อประโยชน์ทางการเมืองอีกต่อไป ผมเห็นว่าตำรวจและรัฐมนตรีที่เคยเกี่ยวข้องกับคดีนี้ควรออกมาอธิบายความจริงให้สังคมได้รับรู้อย่างทั่วถึง อย่าปล่อยให้เป็นประเด็นที่นำไปใช้โฆษณาชวนเชื่อ

> อย่างที่เคยกล่าวไว้ในตอนต้น มันน่าเศร้าใจอย่างยิ่งที่คนไทยไม่สนใจ ไม่เคารพความจริง มองข้ามหลักเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ เลือกที่จะเชื่อในทุกเรื่องทุกสิ่งที่คนที่เราชอบพูด สังคมเช่นนี้อันตราย

 > ในฐานะคนไทยคนหนึ่งผมเรียกร้องให้ผู้รักความจริงช่วยกันเผยแพร่เรื่องนี้ออกไป เรียกร้องให้รัฐบาลและฝ่ายราชการปกป้องสถาบันสูงสุดให้มากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะท่านรู้ข้อมูลทุกอย่างดี แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงวางเฉยกัน 

> และสุดท้ายต้องขอร้องให้พี่น้องคนไทยทุกคนฟั งและอ่านเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นและอาจจะเกิดขึ้นในสังไทยของเราอย่างมีเหตุและผล เพราะจากนี้ไปสังคมของเราก็อาจจะกลับเข้าสู่สภาพแวดล้อมของการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร และเราก็จะต้องมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมดังกล่าวด้วย

สรุป
 - ซาอุมีปัญหากับไทยเพราะเรื่องคดีฆ่านักการทูต
- เรื่องเพชรที่ขโมยมาเคลียร์จบไปนานแล้ว ซาอุไม่ติดใจ
- เจ้าชายซาอุก็ไม่รู้ว่ามีเพชรอะไรถูกขโมยไปบ้าง
 - ที่มีข่าวเพชรซาอุเพราะมีรูปที่เมีย ผบ.ตร. ใส่เครื่องเพชรที่คล้ายๆกันปรากฏผู้ว่าเชี่ยวชาญต่างชาติพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ 
- ไม่มีหลักฐานการเห็นเพชรซาอุที่ไหนอีก
 - สรุปว่า เพชรบูลไดมอนไม่เคยเข้ามาอยู่ในเมืองไทย

ขอบคุณแหล่งข้อมูล 

คดีเพชรซาอุ (ฉบับสมบูรณ์) ย้อนรอย เจาะเบื้องลึก 3 ตอน จบ

คดีเพชรซาอุ (ฉบับสมบูรณ์) ย้อนรอย เจาะเบื้องลึก 3 ตอน จบ


เครดิตวิดีโอ นายข้าวเหนียว มะม่วง





สาระเชิงลึกโดย นายตำรวจเก่า

> เป็นเรื่องน่าเสียใจและน่าเศร้าใจเป็นอย่างมากว่า ตลอดระยะเวลาหลายเดือนของความขัดแย้งทางการเมือง การบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำลายฝ่ายตรงข้ามของกันและกัน ไม่ได้ถูกจำกัดวงอยู่เฉพาะประเด็นปัญหาทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางเศรษฐกิจ หรือความามยุติธรรมที่ไม่เท่าเทียมกันเท่านั้น แต่ยังได้ล่วงเกินข้ามเลยไปถึงการดึงสถาบันสูงสุดเข้ามาเกี่ยวข้องโดยไม่มีข้อเท็จจริงรองรับ สร้างความเข้าใจผิดและมีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความโกรธความเกลียดเพื่อบั่นทอนให้สถาบันสูงสุดอ่อนแอลง

 > มีเรื่องราวหลายประเด็นที่ถูกนำมากล่าวถึงโดยขาดพื้นฐานความจริงมาสนับสนุน นอกจากผู้พูดผู้เขียนนึกอยากจะเขียนอะไร พูดอะไร ก็ทำไปตามใจอยากทำ ไม่คำนึงว่าความจริงคืออะไร ขอให้ได้กล่าวร้ายโจมตีก็จะทำแล้ว ตัวอย่างของนายชูพงษ์ ถี่ถ้วน นายพิษณุ พรหมศร ในเว็บ นปช.ยูเอสเอ ที่กล่าวให้ร้ายสถาบันโดยปราศจากข้อเท็จจริง และกล้าที่จะทำอย่างนั้นอย่างต่อเนื่อง เพราะตระหนักดีว่า สถาบันสูงสุดไม่อยู่ในฐานะที่จะตอบโต้หรือชี้แจงอะไร 

> มิหนำซ้ำรัฐบาลหรือฝ่ายราชการ ก็ยังนิ่งเฉยเสีย อาจเพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องของตัว จะแกว่งเท้าไปหาเสี้ยนทำไม คนฟังคนอ่าน ที่ถูกยัดเยียดข้อมูลด้านเดียวมาตลอด ไม่เคยฟังข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่เป็นความจริง จึงหลงเชื่อหลงยึดติดอยู่กับข้อมูลเท็จดังกล่าว

 > ผมติดตามเรื่องเหล่านี้มานานพอสมควร ผมเห็นว่าไม่เป็นธรรมต่อสถาบัน มีคนนำเรื่องไม่จริงไปเผยแพร่ เจตนาเพื่อให้คนเกลียด สมาชิกในสถาบันจะอธิบายความจริงด้วยตัวเองก็ไม่ได้ คนที่มีหน้าที่รู้เรื่องเป็นอย่างดีก็ไม่ช่วยอธิบายให้ ก็คงต้องตกเป็นหน้าที่ของประชาชนคนเดินดินอย่างพวกเราที่ต้องออกมาทำหน้าที่เหล่านี้แทน > ผมก็เลยขออนุญาตนำบางเรื่องที่ผมมีข้อเท็จจริงอยู่บ้าง มาเล่าสู่กันฟังเพื่อผดุงรักษาความจริงไว้ให้สังคมได้รับรู้กันต่อไป

 > วันนี้ผมขอนำประเด็น เพชรซาอุ มาเล่าสู่กันฟังก่อน เพราะเป็นเรื่องใส่ร้ายสำคัญลำด้ทำกันมาต่อเนื่อง เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม ปี ๒๕๓๘ เมื่อนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ขโมยเครื่องเพชรจำนวนมากจากวังของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด (Prince Faisal bin Fahd bin Abdul Aziz) แล้วลักลอบนำเครื่องเพชรเข้ามาในไทยและจำหน่ายไปยังที่ต่างๆ ผลจากความร่วมมือของตำรวจไทยและทางการซาอุดิอารเบีย ทำให้จับกุมตัวนายเกรียงไกรได้ และได้เครื่องเพชรบางส่วนส่งกลับคืนเจ้าชายไฟซาลไป อาจมีปัญหาเรื่องจำนวนเครื่องเพชรที่หายไปได้คืนไม่ครบถ้วน เครื่องเพชรบางส่วนที่ส่งคืนเป็นของทำเลียนแบบ และมีการพูดกันเรื่อง เพชรบลูไดมอนด์ ไปอยู่ในความครอบครองของสุภาพสตรีในสังคมชั้นสูงบางคน ซึ่งทางตำรวจไทยและเจ้าชายไฟซาลได้ตรวจสอบสอบสวนเพิ่มเติมในทุกประเด็นจนปรากฏความจริงที่ชัดเจนและเป็นที่พอใจของทุกฝ่ายแล้ว  

> ประเด็นเพชรซาอุ ผมขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาเรื่องนี้อย่างละเอียดและรอบคอบว่า ตั้งแต่ทั้งสองฝ่ายตรวจสอบเรื่องเพชรจนได้ความจริงแล้ว ราชสำนักและทางการซาอุดิอาระเบียไม่เคยตำหนิ กดดัน หรือเรียกร้องทางการไทยในเรื่องเพชรซาอุอีกเลย ประเด็นที่เป็นปัญหาความสัมพันธ์จนถึงปัจจุบันไม่ใช่เรื่องเพชรซาอุ แต่เป็นเรื่องการหายตัวไปของนายลูไวรี นักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเขาเชื่อว่าเสียชีวิตแล้วโดยการสังหารของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยที่มีนายตำรวจระดับผู้บัญชาการภาคในปัจจุบันคนหนึ่งเป็นผู้บงการ แต่ไม่ถูกจับกุม แถมยังได้รับการส่งเสริมให้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งสูงข ึ้น ตรงนี้สำคัญเพราะเมื่อซาอุไม่ติดใจสงสัยก็หมายความว่าไม่มีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่ใต้พรมอีกต่อไป ทุกอย่างควรจบลงไปนานแล้ว แต่กลับไม่จบ  

> อะไรคือสาเหตุที่เรื่องเพชรไม่จบ ตอบได้ว่าหลังจากการยึดอำนาจเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างคุณทักษิณกับฝ่ายตรงข้ามทวีความรุนแรงเป็นลำดับ โดยเฉพาะการกล่าวหาสถาบันอยู่เบื้องหลังเรื่องดังกล่าวด้วย เรื่องเพชรบลูไดมอนด์ ถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของคนบางกลุ่ม โดยมีเจตนาทำให้คนรากหญ้าเชื่อว่าเพชรบลูไดมอนด์ตกอยู่ในความครอบครองของบุคคลในสถาบัน เพื่อทำให้คนเกลียดสถาบันซ้ำมากขึ้นไปอีก ในประเด็นไม่เพียงแต่อยู่เบื้องหลังโค่นล้ม ทักษิณแล้ว ยังมีกรณีเพชรซาอุเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทั้งเอาไปแต้มสีต่อว่า คุณทักษิณถูกโค่นล้มจากอำนาจเพราะว่า พยายามนำเพชรบลูไดมอนด์กลับคืนสู่ซาอุ เพื่อคนอิสานจะได้กลับเข้าไปทำงานที่ซาอุดิอาระเบียได้เหมือนเดิม

 > เรื่องเพชรบลูไดมอนด์ ถูกหยิบยกขึ้นมาจากสื่อประเทศไทยฝ่ายเดียวตั้งแต่เริ่มมีเรื่องนายเกรียงไกรใหม่ๆ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรัตน์ ผช.อตร.เจ้าของคดี ทราบเรื่องนี้ดีเพราะเป็นถามสื่อมวลชนเอง ว่า ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน ตนไม่เคยได้ยินหรือเห็นมาก่อนเลย จากนั้นก็มีการไปเอารูปภริยาอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้นใน น.ส.พ. ฉบับหนึ่งสวมสร้อยคอที่มีจี้เป็นรูปคล้ายอัญญมณีสีน้ำเงินล้อมเพชรและทอง ปรากฏตัวในงานเลี้ยงงาน หนึ่ง แล้วก็ลือกันตามมาว่าเป็นเพชรบลูไดมอนด์ของเจ้าฟ้าชายไฟซอล  

> เรื่องนี้ได้มีการพิสูจน์กันสองทางคือ ประการแรกตำรวจได้ส่งภาพถ่ายดังกล่าวไปให้สถาบันอัญญมณีในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตรวจพิสูจน์ ได้ข้อยุติว่า วัตถุที่ว่าเป็นอัญมณีสีน้ำเงินแล้วอนุมานว่าเป็นนเพชรบลูไดมอนด์ ไม่ใช่เพชรหรืออัญญมณีแต่อย่างใด แต่เป็นวัตถุที่ทำด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มที่นำมาประดิษฐ์เข้าคู่กับเพชรและทอง ผลพิสูจน์นี้อยู่ ในสำนวนการสอบสวนของตำรวจ เพราะมีหนังสือตอบกลับมาอย่างเป็นทางการ ประการที่สอง บุตรชายของสุภาพสตรีท่านนั้นได้นำสร้อยและจี้ที่ปรากฏในภาพถ่ายมาแสดงต่อพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับผลตรวจพิสูจน์ของสถาบันในลอนดอน

 > ข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้อีกประการหนึ่งก็คือ ผลการสอบสวนนายเกรียงไกรพบว่า นายเกรียงไกรได้แบ่งเครื่องเพชรให้กับเพื่อนที่มีส่วนรู้เห็น ทั้งไม่รู้ด้วยว่าแบ่งเครื่องเพชรชนิดและประเภทใดให้เพื่อนไปบ้าง นอกจากนั้น เจ้าตัวมีความรู้เรื่องอัญญมณีน้อยมาก เมื่อนำเครื่องเพชรทั้งหมดกลับมาที่บ้านใน จ.ลำปาง ก็ได้ทำการแยกชิ้นส่วนเอาเพชรกับทองแยกออกจากกัน เพราะรู้จักแต่ทองว่ามีค่า โดยนำทองไปขายที่ร้านทองใน จ.แพร่ และ จ.ลำปาง ผลการสอบเจ้าของร้านทองก็ไม่ปรากฏว่าพบเห็นหรือรู้เรื่องเพชรบลูไดมอนด์ ส่วนเพชรนายเกรียงไกรก็ไม่รู้จัก รู้แต่ว่าเพชรมีความแข็งมากจึงลองทุบบางส่วนดู เม็ดไหนแตกก็ทิ้งไป เม็ดไหนไม่บุบสลายก็แยกไว้ แต่ไม่ได้ทุบไปเสียทั้งหมด จากนั้นได้นำเพชร พลอย อัญญมณีอื่นๆที่แยกออกจากทองแล้วไปฝังดินไว้บางส่วน บางส่วนทะยอยขายให้แก่นายสันติ ศรีธนขัณฑ์ เจ้าของร้านเพชรชื่อดัง ซึ่งบางส่วนถูกนำไปขายต่ออีกทอดโดยมี พล.ต.อ.คนหนึ่งซึ่งเป็น อดีต รอง ผบ.ตร.และชอบค้าของเก่าและของมีค่าร่วมมือกับนายสันติขายเพชรซาอุด้วย แต่หลักฐานสาวไปไม่ถึงจึงลอยนวลอยู่จนทุกวันนี้

 > การให้การของนายเกรียงไกรกรณีเพชรบลูไดมอนด์มีลักษณะไม่ชัดเจน เหมือนว่าขโมยมาแล้วขายให้นายสันติ แต่นายเกรียงไกรก็ไม่เคยยืนยันอย่างหนักแน่นกับพนักงานสอบสวนในเรื่องดังกล่าว เ นื่องจากไม่มีความมั่นใจ เพราะนำเครื่องเพชรออกมาเป็นจำนวนมากจนไม่สามารถจดจำรายละเอียดได้ครบถ้วน  

 > พนักงานสอบสวนและราชสำนักซาอุดิอาระเบียประมาณการณ์ว่า เพชรซาอุถูกขายไปประมาณ ๒๐ % ทั้งนายสันติ และภริยา ต่างยืนยันว่า ไม่เคยเห็นเพชรบลูไดมอนด์ ความตายของนางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ศรีธนขันฑ์ เป็นข้อพิสูจน์ได้ดีว่า ผู้รับซื้อเพชรซึ่งมีอยู่รายเดียวจากนายเกรียงไกร ต่างไม่เคยเห็นเพชรบลูไดมอนด์ มิฉะนั้นคงรับสารภาพและคืนให้ไปแล้วเมื่อเห็นความตายและความเดือดร้อนของตนเอง ครอบครัว และบุตรอยู่ตรงหน้า  

> ผลสรุปของการสอบสวนคดีเพชรซาอุ มีข้อยุติว่า ไม่มีใครที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยเคยเห็นเพชรบลูไดมอนด์อยู่ในเครื่องเพชรที่นายเกรียงไกรขโมยมา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเพชรบลูไดมอนด์ไม่เคยมีอยู่ในประเทศไทย การกล่าวหากล่าวอ้างว่าบุคคลนั้นบุคคลนี้ครอบครองเพชรบลูไดมอนด์ไว้ จึงไม่เป็นความจริง 

> ประการที่สองเจ้าชายหรือเจ้าหญิงของซาอุดิอาระเบียไม่รู้ว่าเครื่องเพชรที่ถูกขโมยมีชนิดหรือประเภทใดอย่างครบถ้วนเพราะเครื่องเพชรมีเป็นจำนวนมากที่อยู่ในครอบครองและที่ถูกขโมยมา ทั้งยอมรับว่าเครื่องเพชรที่ถูกขโมยมีทั้งของจริงและของปลอมที่ซื้อจากห้าง May Flower ซึ่งทำอัญญมณีประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงมาก ทั้งไม่ทราบว่าเครื่องเพชรอันใดเทียมหรือจริง ข้อตำหนิเรื่องส่งคืนเครื่องเพชรปลอมและไม่ครบถ้วนจึงสามารถทำความเข้าใจที่ชัดเจนได้ในเวลาต่อมา  

> ทั้งหมดนี้คือข้อเท็จจริง ผมเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ควรถูกใช้เป็นประเด็นกล่าวหาบุคคลในสถาบันสูงสุดของเราอีกเพื่อประโยชน์ทางการเมืองอีกต่อไป ผมเห็นว่าตำรวจและรัฐมนตรีที่เคยเกี่ยวข้องกับคดีนี้ควรออกมาอธิบายความจริงให้สังคมได้รับรู้อย่างทั่วถึง อย่าปล่อยให้เป็นประเด็นที่นำไปใช้โฆษณาชวนเชื่อ

> อย่างที่เคยกล่าวไว้ในตอนต้น มันน่าเศร้าใจอย่างยิ่งที่คนไทยไม่สนใจ ไม่เคารพความจริง มองข้ามหลักเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ เลือกที่จะเชื่อในทุกเรื่องทุกสิ่งที่คนที่เราชอบพูด สังคมเช่นนี้อันตราย

 > ในฐานะคนไทยคนหนึ่งผมเรียกร้องให้ผู้รักความจริงช่วยกันเผยแพร่เรื่องนี้ออกไป เรียกร้องให้รัฐบาลและฝ่ายราชการปกป้องสถาบันสูงสุดให้มากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะท่านรู้ข้อมูลทุกอย่างดี แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงวางเฉยกัน 

> และสุดท้ายต้องขอร้องให้พี่น้องคนไทยทุกคนฟั งและอ่านเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นและอาจจะเกิดขึ้นในสังไทยของเราอย่างมีเหตุและผล เพราะจากนี้ไปสังคมของเราก็อาจจะกลับเข้าสู่สภาพแวดล้อมของการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร และเราก็จะต้องมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมดังกล่าวด้วย

สรุป
 - ซาอุมีปัญหากับไทยเพราะเรื่องคดีฆ่านักการทูต
- เรื่องเพชรที่ขโมยมาเคลียร์จบไปนานแล้ว ซาอุไม่ติดใจ
- เจ้าชายซาอุก็ไม่รู้ว่ามีเพชรอะไรถูกขโมยไปบ้าง
 - ที่มีข่าวเพชรซาอุเพราะมีรูปที่เมีย ผบ.ตร. ใส่เครื่องเพชรที่คล้ายๆกันปรากฏผู้ว่าเชี่ยวชาญต่างชาติพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ 
- ไม่มีหลักฐานการเห็นเพชรซาอุที่ไหนอีก
 - สรุปว่า เพชรบูลไดมอนไม่เคยเข้ามาอยู่ในเมืองไทย

ขอบคุณแหล่งข้อมูล 
คดีเพชรซาอุ (ฉบับสมบูรณ์) ย้อนรอย เจาะเบื้องลึก 3 ตอน จบ

คดีเพชรซาอุ (ฉบับสมบูรณ์) ย้อนรอย เจาะเบื้องลึก 3 ตอน จบ


เครดิตวิดีโอ นายข้าวเหนียว มะม่วง





สาระเชิงลึกโดย นายตำรวจเก่า

> เป็นเรื่องน่าเสียใจและน่าเศร้าใจเป็นอย่างมากว่า ตลอดระยะเวลาหลายเดือนของความขัดแย้งทางการเมือง การบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำลายฝ่ายตรงข้ามของกันและกัน ไม่ได้ถูกจำกัดวงอยู่เฉพาะประเด็นปัญหาทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางเศรษฐกิจ หรือความามยุติธรรมที่ไม่เท่าเทียมกันเท่านั้น แต่ยังได้ล่วงเกินข้ามเลยไปถึงการดึงสถาบันสูงสุดเข้ามาเกี่ยวข้องโดยไม่มีข้อเท็จจริงรองรับ สร้างความเข้าใจผิดและมีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความโกรธความเกลียดเพื่อบั่นทอนให้สถาบันสูงสุดอ่อนแอลง

 > มีเรื่องราวหลายประเด็นที่ถูกนำมากล่าวถึงโดยขาดพื้นฐานความจริงมาสนับสนุน นอกจากผู้พูดผู้เขียนนึกอยากจะเขียนอะไร พูดอะไร ก็ทำไปตามใจอยากทำ ไม่คำนึงว่าความจริงคืออะไร ขอให้ได้กล่าวร้ายโจมตีก็จะทำแล้ว ตัวอย่างของนายชูพงษ์ ถี่ถ้วน นายพิษณุ พรหมศร ในเว็บ นปช.ยูเอสเอ ที่กล่าวให้ร้ายสถาบันโดยปราศจากข้อเท็จจริง และกล้าที่จะทำอย่างนั้นอย่างต่อเนื่อง เพราะตระหนักดีว่า สถาบันสูงสุดไม่อยู่ในฐานะที่จะตอบโต้หรือชี้แจงอะไร 

> มิหนำซ้ำรัฐบาลหรือฝ่ายราชการ ก็ยังนิ่งเฉยเสีย อาจเพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องของตัว จะแกว่งเท้าไปหาเสี้ยนทำไม คนฟังคนอ่าน ที่ถูกยัดเยียดข้อมูลด้านเดียวมาตลอด ไม่เคยฟังข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่เป็นความจริง จึงหลงเชื่อหลงยึดติดอยู่กับข้อมูลเท็จดังกล่าว

 > ผมติดตามเรื่องเหล่านี้มานานพอสมควร ผมเห็นว่าไม่เป็นธรรมต่อสถาบัน มีคนนำเรื่องไม่จริงไปเผยแพร่ เจตนาเพื่อให้คนเกลียด สมาชิกในสถาบันจะอธิบายความจริงด้วยตัวเองก็ไม่ได้ คนที่มีหน้าที่รู้เรื่องเป็นอย่างดีก็ไม่ช่วยอธิบายให้ ก็คงต้องตกเป็นหน้าที่ของประชาชนคนเดินดินอย่างพวกเราที่ต้องออกมาทำหน้าที่เหล่านี้แทน > ผมก็เลยขออนุญาตนำบางเรื่องที่ผมมีข้อเท็จจริงอยู่บ้าง มาเล่าสู่กันฟังเพื่อผดุงรักษาความจริงไว้ให้สังคมได้รับรู้กันต่อไป

 > วันนี้ผมขอนำประเด็น เพชรซาอุ มาเล่าสู่กันฟังก่อน เพราะเป็นเรื่องใส่ร้ายสำคัญลำด้ทำกันมาต่อเนื่อง เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม ปี ๒๕๓๘ เมื่อนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ขโมยเครื่องเพชรจำนวนมากจากวังของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด (Prince Faisal bin Fahd bin Abdul Aziz) แล้วลักลอบนำเครื่องเพชรเข้ามาในไทยและจำหน่ายไปยังที่ต่างๆ ผลจากความร่วมมือของตำรวจไทยและทางการซาอุดิอารเบีย ทำให้จับกุมตัวนายเกรียงไกรได้ และได้เครื่องเพชรบางส่วนส่งกลับคืนเจ้าชายไฟซาลไป อาจมีปัญหาเรื่องจำนวนเครื่องเพชรที่หายไปได้คืนไม่ครบถ้วน เครื่องเพชรบางส่วนที่ส่งคืนเป็นของทำเลียนแบบ และมีการพูดกันเรื่อง เพชรบลูไดมอนด์ ไปอยู่ในความครอบครองของสุภาพสตรีในสังคมชั้นสูงบางคน ซึ่งทางตำรวจไทยและเจ้าชายไฟซาลได้ตรวจสอบสอบสวนเพิ่มเติมในทุกประเด็นจนปรากฏความจริงที่ชัดเจนและเป็นที่พอใจของทุกฝ่ายแล้ว  

> ประเด็นเพชรซาอุ ผมขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาเรื่องนี้อย่างละเอียดและรอบคอบว่า ตั้งแต่ทั้งสองฝ่ายตรวจสอบเรื่องเพชรจนได้ความจริงแล้ว ราชสำนักและทางการซาอุดิอาระเบียไม่เคยตำหนิ กดดัน หรือเรียกร้องทางการไทยในเรื่องเพชรซาอุอีกเลย ประเด็นที่เป็นปัญหาความสัมพันธ์จนถึงปัจจุบันไม่ใช่เรื่องเพชรซาอุ แต่เป็นเรื่องการหายตัวไปของนายลูไวรี นักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเขาเชื่อว่าเสียชีวิตแล้วโดยการสังหารของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยที่มีนายตำรวจระดับผู้บัญชาการภาคในปัจจุบันคนหนึ่งเป็นผู้บงการ แต่ไม่ถูกจับกุม แถมยังได้รับการส่งเสริมให้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งสูงข ึ้น ตรงนี้สำคัญเพราะเมื่อซาอุไม่ติดใจสงสัยก็หมายความว่าไม่มีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่ใต้พรมอีกต่อไป ทุกอย่างควรจบลงไปนานแล้ว แต่กลับไม่จบ  

> อะไรคือสาเหตุที่เรื่องเพชรไม่จบ ตอบได้ว่าหลังจากการยึดอำนาจเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างคุณทักษิณกับฝ่ายตรงข้ามทวีความรุนแรงเป็นลำดับ โดยเฉพาะการกล่าวหาสถาบันอยู่เบื้องหลังเรื่องดังกล่าวด้วย เรื่องเพชรบลูไดมอนด์ ถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของคนบางกลุ่ม โดยมีเจตนาทำให้คนรากหญ้าเชื่อว่าเพชรบลูไดมอนด์ตกอยู่ในความครอบครองของบุคคลในสถาบัน เพื่อทำให้คนเกลียดสถาบันซ้ำมากขึ้นไปอีก ในประเด็นไม่เพียงแต่อยู่เบื้องหลังโค่นล้ม ทักษิณแล้ว ยังมีกรณีเพชรซาอุเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทั้งเอาไปแต้มสีต่อว่า คุณทักษิณถูกโค่นล้มจากอำนาจเพราะว่า พยายามนำเพชรบลูไดมอนด์กลับคืนสู่ซาอุ เพื่อคนอิสานจะได้กลับเข้าไปทำงานที่ซาอุดิอาระเบียได้เหมือนเดิม

 > เรื่องเพชรบลูไดมอนด์ ถูกหยิบยกขึ้นมาจากสื่อประเทศไทยฝ่ายเดียวตั้งแต่เริ่มมีเรื่องนายเกรียงไกรใหม่ๆ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรัตน์ ผช.อตร.เจ้าของคดี ทราบเรื่องนี้ดีเพราะเป็นถามสื่อมวลชนเอง ว่า ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน ตนไม่เคยได้ยินหรือเห็นมาก่อนเลย จากนั้นก็มีการไปเอารูปภริยาอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้นใน น.ส.พ. ฉบับหนึ่งสวมสร้อยคอที่มีจี้เป็นรูปคล้ายอัญญมณีสีน้ำเงินล้อมเพชรและทอง ปรากฏตัวในงานเลี้ยงงาน หนึ่ง แล้วก็ลือกันตามมาว่าเป็นเพชรบลูไดมอนด์ของเจ้าฟ้าชายไฟซอล  

> เรื่องนี้ได้มีการพิสูจน์กันสองทางคือ ประการแรกตำรวจได้ส่งภาพถ่ายดังกล่าวไปให้สถาบันอัญญมณีในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตรวจพิสูจน์ ได้ข้อยุติว่า วัตถุที่ว่าเป็นอัญมณีสีน้ำเงินแล้วอนุมานว่าเป็นนเพชรบลูไดมอนด์ ไม่ใช่เพชรหรืออัญญมณีแต่อย่างใด แต่เป็นวัตถุที่ทำด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มที่นำมาประดิษฐ์เข้าคู่กับเพชรและทอง ผลพิสูจน์นี้อยู่ ในสำนวนการสอบสวนของตำรวจ เพราะมีหนังสือตอบกลับมาอย่างเป็นทางการ ประการที่สอง บุตรชายของสุภาพสตรีท่านนั้นได้นำสร้อยและจี้ที่ปรากฏในภาพถ่ายมาแสดงต่อพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับผลตรวจพิสูจน์ของสถาบันในลอนดอน

 > ข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้อีกประการหนึ่งก็คือ ผลการสอบสวนนายเกรียงไกรพบว่า นายเกรียงไกรได้แบ่งเครื่องเพชรให้กับเพื่อนที่มีส่วนรู้เห็น ทั้งไม่รู้ด้วยว่าแบ่งเครื่องเพชรชนิดและประเภทใดให้เพื่อนไปบ้าง นอกจากนั้น เจ้าตัวมีความรู้เรื่องอัญญมณีน้อยมาก เมื่อนำเครื่องเพชรทั้งหมดกลับมาที่บ้านใน จ.ลำปาง ก็ได้ทำการแยกชิ้นส่วนเอาเพชรกับทองแยกออกจากกัน เพราะรู้จักแต่ทองว่ามีค่า โดยนำทองไปขายที่ร้านทองใน จ.แพร่ และ จ.ลำปาง ผลการสอบเจ้าของร้านทองก็ไม่ปรากฏว่าพบเห็นหรือรู้เรื่องเพชรบลูไดมอนด์ ส่วนเพชรนายเกรียงไกรก็ไม่รู้จัก รู้แต่ว่าเพชรมีความแข็งมากจึงลองทุบบางส่วนดู เม็ดไหนแตกก็ทิ้งไป เม็ดไหนไม่บุบสลายก็แยกไว้ แต่ไม่ได้ทุบไปเสียทั้งหมด จากนั้นได้นำเพชร พลอย อัญญมณีอื่นๆที่แยกออกจากทองแล้วไปฝังดินไว้บางส่วน บางส่วนทะยอยขายให้แก่นายสันติ ศรีธนขัณฑ์ เจ้าของร้านเพชรชื่อดัง ซึ่งบางส่วนถูกนำไปขายต่ออีกทอดโดยมี พล.ต.อ.คนหนึ่งซึ่งเป็น อดีต รอง ผบ.ตร.และชอบค้าของเก่าและของมีค่าร่วมมือกับนายสันติขายเพชรซาอุด้วย แต่หลักฐานสาวไปไม่ถึงจึงลอยนวลอยู่จนทุกวันนี้

 > การให้การของนายเกรียงไกรกรณีเพชรบลูไดมอนด์มีลักษณะไม่ชัดเจน เหมือนว่าขโมยมาแล้วขายให้นายสันติ แต่นายเกรียงไกรก็ไม่เคยยืนยันอย่างหนักแน่นกับพนักงานสอบสวนในเรื่องดังกล่าว เ นื่องจากไม่มีความมั่นใจ เพราะนำเครื่องเพชรออกมาเป็นจำนวนมากจนไม่สามารถจดจำรายละเอียดได้ครบถ้วน  

 > พนักงานสอบสวนและราชสำนักซาอุดิอาระเบียประมาณการณ์ว่า เพชรซาอุถูกขายไปประมาณ ๒๐ % ทั้งนายสันติ และภริยา ต่างยืนยันว่า ไม่เคยเห็นเพชรบลูไดมอนด์ ความตายของนางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ศรีธนขันฑ์ เป็นข้อพิสูจน์ได้ดีว่า ผู้รับซื้อเพชรซึ่งมีอยู่รายเดียวจากนายเกรียงไกร ต่างไม่เคยเห็นเพชรบลูไดมอนด์ มิฉะนั้นคงรับสารภาพและคืนให้ไปแล้วเมื่อเห็นความตายและความเดือดร้อนของตนเอง ครอบครัว และบุตรอยู่ตรงหน้า  

> ผลสรุปของการสอบสวนคดีเพชรซาอุ มีข้อยุติว่า ไม่มีใครที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยเคยเห็นเพชรบลูไดมอนด์อยู่ในเครื่องเพชรที่นายเกรียงไกรขโมยมา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเพชรบลูไดมอนด์ไม่เคยมีอยู่ในประเทศไทย การกล่าวหากล่าวอ้างว่าบุคคลนั้นบุคคลนี้ครอบครองเพชรบลูไดมอนด์ไว้ จึงไม่เป็นความจริง 

> ประการที่สองเจ้าชายหรือเจ้าหญิงของซาอุดิอาระเบียไม่รู้ว่าเครื่องเพชรที่ถูกขโมยมีชนิดหรือประเภทใดอย่างครบถ้วนเพราะเครื่องเพชรมีเป็นจำนวนมากที่อยู่ในครอบครองและที่ถูกขโมยมา ทั้งยอมรับว่าเครื่องเพชรที่ถูกขโมยมีทั้งของจริงและของปลอมที่ซื้อจากห้าง May Flower ซึ่งทำอัญญมณีประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงมาก ทั้งไม่ทราบว่าเครื่องเพชรอันใดเทียมหรือจริง ข้อตำหนิเรื่องส่งคืนเครื่องเพชรปลอมและไม่ครบถ้วนจึงสามารถทำความเข้าใจที่ชัดเจนได้ในเวลาต่อมา  

> ทั้งหมดนี้คือข้อเท็จจริง ผมเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ควรถูกใช้เป็นประเด็นกล่าวหาบุคคลในสถาบันสูงสุดของเราอีกเพื่อประโยชน์ทางการเมืองอีกต่อไป ผมเห็นว่าตำรวจและรัฐมนตรีที่เคยเกี่ยวข้องกับคดีนี้ควรออกมาอธิบายความจริงให้สังคมได้รับรู้อย่างทั่วถึง อย่าปล่อยให้เป็นประเด็นที่นำไปใช้โฆษณาชวนเชื่อ

> อย่างที่เคยกล่าวไว้ในตอนต้น มันน่าเศร้าใจอย่างยิ่งที่คนไทยไม่สนใจ ไม่เคารพความจริง มองข้ามหลักเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ เลือกที่จะเชื่อในทุกเรื่องทุกสิ่งที่คนที่เราชอบพูด สังคมเช่นนี้อันตราย

 > ในฐานะคนไทยคนหนึ่งผมเรียกร้องให้ผู้รักความจริงช่วยกันเผยแพร่เรื่องนี้ออกไป เรียกร้องให้รัฐบาลและฝ่ายราชการปกป้องสถาบันสูงสุดให้มากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะท่านรู้ข้อมูลทุกอย่างดี แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงวางเฉยกัน 

> และสุดท้ายต้องขอร้องให้พี่น้องคนไทยทุกคนฟั งและอ่านเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นและอาจจะเกิดขึ้นในสังไทยของเราอย่างมีเหตุและผล เพราะจากนี้ไปสังคมของเราก็อาจจะกลับเข้าสู่สภาพแวดล้อมของการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร และเราก็จะต้องมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมดังกล่าวด้วย

สรุป
 - ซาอุมีปัญหากับไทยเพราะเรื่องคดีฆ่านักการทูต
- เรื่องเพชรที่ขโมยมาเคลียร์จบไปนานแล้ว ซาอุไม่ติดใจ
- เจ้าชายซาอุก็ไม่รู้ว่ามีเพชรอะไรถูกขโมยไปบ้าง
 - ที่มีข่าวเพชรซาอุเพราะมีรูปที่เมีย ผบ.ตร. ใส่เครื่องเพชรที่คล้ายๆกันปรากฏผู้ว่าเชี่ยวชาญต่างชาติพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ 
- ไม่มีหลักฐานการเห็นเพชรซาอุที่ไหนอีก
 - สรุปว่า เพชรบูลไดมอนไม่เคยเข้ามาอยู่ในเมืองไทย

ขอบคุณแหล่งข้อมูล 
คดีเพชรซาอุ (ฉบับสมบูรณ์) ย้อนรอย เจาะเบื้องลึก 3 ตอน จบ

มีแบ็งค์ร้อย ของภูมิพล และสิรินทร แล้วทำไมไม่มีของ วชิราลงกรณ์ (ถ้ามีปีที่แล้วหรือปีนี้ ขอหน่อยครับ)


มีแบ็งค์ร้อย ของภูมิพล และสิรินธร
แล้วทำไมไม่มีของ วชิราลงกรณ์ 
(ถ้ามีปีที่แล้วหรือปีนี้ ขอหน่อยครับ)



(ทำไมไม่เอารูปปัจจุบันขึ้น)


นี่ก็เหมือนกันนะครับ ทำไมไม่เอารูปปัจจุบัน






เกร็ด ปวศ. วันสวรรคต 6 เม.ย. "ชะตากรรม พระเจ้าตากสิน และ ราชวงศ์จักรี"


เกร็ด ปวศ. วันสวรรคต 6 เม.ย. "ชะตากรรม พระเจ้าตากสิน และ ราชวงศ์จักรี" URL: http://youtu.be/RFgOBdCFKrg



เกร็ด ปวศ. วันสวรรคต 6 เม.ย. "ชะตากรรม พระเจ้าตากสิน และ ราชวงศ์จักรี"


เกร็ด ปวศ. วันสวรรคต 6 เม.ย. "ชะตากรรม พระเจ้าตากสิน และ ราชวงศ์จักรี"


เกร็ด ปวศ. วันสวรรคต 6 เม.ย. "ชะตากรรม พระเจ้าตากสิน และ ราชวงศ์จักรี" URL: http://youtu.be/RFgOBdCFKrg



เกร็ด ปวศ. วันสวรรคต 6 เม.ย. "ชะตากรรม พระเจ้าตากสิน และ ราชวงศ์จักรี"


เกร็ด ปวศ. วันสวรรคต 6 เม.ย. "ชะตากรรม พระเจ้าตากสิน และ ราชวงศ์จักรี"


เกร็ด ปวศ. วันสวรรคต 6 เม.ย. "ชะตากรรม พระเจ้าตากสิน และ ราชวงศ์จักรี" URL: http://youtu.be/RFgOBdCFKrg



เกร็ด ปวศ. วันสวรรคต 6 เม.ย. "ชะตากรรม พระเจ้าตากสิน และ ราชวงศ์จักรี"


ศึกชิงบัลลังก์สังฆราชา ตอนที่ 1




อำนาจกษัตริย์ที่ครอบงำศาสนจักร เกิดขึ้นมานาน ในประวัติศาสตร์มนุษย์
เมืองไทยก็เช่นกัน มาหนักเอาในยุคต้นราชวงศ์จักรีนี่เอง วันนี้จึงเห็นการก้าวล่วงศาสนจักร โดยตัวแทนของเจ้าไทยอย่างหนัก

ลองฟังดูครับ



Published on Mar 7, 2015
กษัตริย์ ณ กรุงเทพมหานคร เป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ โดยได้สร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างอ­งค์รัฏฐาธิปัตย์ กับอำนาจดั้งเดิมที่อยู่รอบนอก อันได้แก่หัวเมืองชั้นใน ชั้นนอก และหัวเมืองประเทศราชโดยปรับระบบการปกครอง­แบบมณฑลเทศาภิบาล เพื่อควบคุมกำลังคน การปฏิรูประบบภาษีใหม่ ให้มาขึ้นอยู่กษัตริย์โดยตรง แทนที่จะผ่านตัวแทน

หรือทหารหมดปัญญาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ จึงหันหน้า เตรียมรีดทรัพย์จากวัดพุทธ!!!!!????




ผมได้รับเอกสารนี้มาจากพี่น้อง ส่งมาทางไลน์ครับ  อ่านดูแล้วนึกถึงคำของอ.ชูพงศ์ ในรายการเมื่อวานว่า เศรษฐกิจย่ำแย่ ชนิดต้องรีดเงินจากภาษีต่าง ๆ และเตรียมระดมรีดเงินทองจากวัดวาอาราม โดยเฉพาะวัดพุทธ   เมื่อดีตัวเลขจีดีพี ดูรายได้ ดูผลประกอบการ ดูบรรยากาศการลงทุนและจับจ่ายใช้สอย ดูการท่องเที่ยว และดูสีหน้าของโจรกบฏที่คิดว่าการบริหารประเทศมันง่าย  และได้โชว์ความเชื่อมั่นให้ชาวโลกเห็นรายวันว่า ผู้นำเผด็จการทหารนั้น โง่จริง บ้าจริง หลงอำนาจจริง และไม่สมควรให้อยู่ในอำนาจต่อไปจริง...  การจะอยู่ในอำนาจต่อไปของ คสช. จึงเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง  เพราะใช้เงินทองไปกับเรื่องต่างตอบแทนในคณะของตน และจ้างคนไปทำงานในองค์คณะเถื่อนต่าง ๆ แถมซื้ออาวุธเข้ากองทัพแบบแดกด่วนอีกมาก จนไม่น่าจะเหลือเงินทองไปบริหารประเทศต่อ


ยุคที่ฆาตกรและนักการเมืองขี้ฉ้อ เข้าไปหลบห่มผ้าเหลือง เราจะหวังอะไรได้จากภาคการเมือง
ไม่ต้องเชื่อผม นี่เป็นแค่ข้อสังเกตุ จริงหรือไม่จริง ไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม แล้วสรุปด้วยตัวท่านเอง  แล้วควรถามกลับด้วยว่า วัดวาของชาวพุทธจะยอมให้มีการกระทำปล้นวัดปล้นวาเยี่ยงนี้ (หากเป็นจริง) กระนั้นหรือ?  ถ้าไม่ แล้วจะทำอะไรกันดี?





หรือทหารหมดปัญญาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ จึงหันหน้า เตรียมรีดทรัพย์จากวัดพุทธ!!!!!????

หรือทหารหมดปัญญาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ จึงหันหน้า เตรียมรีดทรัพย์จากวัดพุทธ!!!!!????




ผมได้รับเอกสารนี้มาจากพี่น้อง ส่งมาทางไลน์ครับ  อ่านดูแล้วนึกถึงคำของอ.ชูพงศ์ ในรายการเมื่อวานว่า เศรษฐกิจย่ำแย่ ชนิดต้องรีดเงินจากภาษีต่าง ๆ และเตรียมระดมรีดเงินทองจากวัดวาอาราม โดยเฉพาะวัดพุทธ   เมื่อดีตัวเลขจีดีพี ดูรายได้ ดูผลประกอบการ ดูบรรยากาศการลงทุนและจับจ่ายใช้สอย ดูการท่องเที่ยว และดูสีหน้าของโจรกบฏที่คิดว่าการบริหารประเทศมันง่าย  และได้โชว์ความเชื่อมั่นให้ชาวโลกเห็นรายวันว่า ผู้นำเผด็จการทหารนั้น โง่จริง บ้าจริง หลงอำนาจจริง และไม่สมควรให้อยู่ในอำนาจต่อไปจริง...  การจะอยู่ในอำนาจต่อไปของ คสช. จึงเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง  เพราะใช้เงินทองไปกับเรื่องต่างตอบแทนในคณะของตน และจ้างคนไปทำงานในองค์คณะเถื่อนต่าง ๆ แถมซื้ออาวุธเข้ากองทัพแบบแดกด่วนอีกมาก จนไม่น่าจะเหลือเงินทองไปบริหารประเทศต่อ


ยุคที่ฆาตกรและนักการเมืองขี้ฉ้อ เข้าไปหลบห่มผ้าเหลือง เราจะหวังอะไรได้จากภาคการเมือง
ไม่ต้องเชื่อผม นี่เป็นแค่ข้อสังเกตุ จริงหรือไม่จริง ไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม แล้วสรุปด้วยตัวท่านเอง  แล้วควรถามกลับด้วยว่า วัดวาของชาวพุทธจะยอมให้มีการกระทำปล้นวัดปล้นวาเยี่ยงนี้ (หากเป็นจริง) กระนั้นหรือ?  ถ้าไม่ แล้วจะทำอะไรกันดี?





หรือทหารหมดปัญญาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ จึงหันหน้า เตรียมรีดทรัพย์จากวัดพุทธ!!!!!????

การค้ามนุษย์ข้ามชาติ (the Human Trafficking on Transnational Plane)

การค้ามนุษย์ข้ามชาติ (the Human Trafficking on Transnational Plane)

๑. เมื่อเราพูด หรือ กล่าวถึง “การค้ามนุษย์ข้ามชาติ” นั้น เท่าที่ปรากฏหลักฐานในประวัติศาสตร์มนุษย์นั้น เริ่มมาจากปีค.ศ. ๑๒๐๐ จนถึงปีค.ศ. ๑๕๐๐ ประเทศแรกที่บัญญัติให้ “การค้ามนุษย์ข้ามชาติ เป็นความผิดต่อกฏหมาย” ก็คือประเทศอังกฤษ ในขณะนั้น อังกฤษเริ่มเป็น และต่อมาได้เป็นชาติมหาอำนาจทางทะเล ซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่า การค้ามนุษย์ว่า เป็น“การค้าทาส” (Trading on Slavery) โดยอังกฤษ อ้างเอาข้อห้าม มิให้มีการค้าทาส มาจากหลักในทางศาสนา ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้มีการไปไล่จับคนในทวีปอาฟริกา พรากเขามาจากแผ่นดินแม่ของเขา เพื่อเอาไปเป็นทาสใช้แรงงานในอาณานิคมทั้ง ๑๓ แห่งบนทวีปอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไปใช้เป็นแรงงานในไร่ฝ้าย เพื่อเก็บฝ้ายในมลรัฐทางใต้ของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น ยังดำรงสถานะเป็นอาณานิคมของอังกฤษ (จากบทความเรื่อง Transnational regimes for combating in persons: Reflections on the UN Protocol to Prevent, Suppress and Punish Trafficking in Persons, Dr. Emmanuel Obuah, Assistant Professor, Department of Behavioral Sciences, Alabama A&M University)
๒. ในเวลาต่อมา เราก็ได้เห็น ข้อห้ามมิให้มีการค้าทาส เป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นในสนธิสัญญาสองฝ่าย หรือ ทวิภาคี (Bilateral Treaty) ในระหว่างสหรัฐอเมริกา กับอังกฤษ ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรในสนธิสัญญาสงบศึกระหว่าง สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ในสงครามประกาศอิสรภาพของสหรัฐ ที่ลงนามกันที่กรุงปารีส ที่เรียกว่า “The Paris Treaty of September 30, 1783” ที่ท่านผู้ใฝ่รู้ทั้งหลายอาจค้นคว้าผ่านเครื่องอ่านของกูเกิ้ล โดยพิมพ์วลีว่า “Avalon Project” แล้วพิมพ์ชื่อสนธิสัญญานี้ใส่บนมุมขวาของหน้าแรกของ “Avalon Project” ท่านก็สามารถ Download เอาสนธิสัญญานี้มาศึกษาได้โดยละเอียด
๓.ในปีค.ศ. 1814 อังกฤษ และ สหรัฐอเมริกา ได้มีการลงนามในสนธิสัญญาสองฝ่าย “ห้ามทำการค้าทาส ทางเรือ” ทั้งนี้ เพื่อป้องกัน มิให้มีการนำ ทาสผิวดำจากทวีปอาฟริกาเข้าสู่มลรัฐทางใต้ ของสหรัฐอเมริกา เพื่อไปทำงาน เป็นทาสแรงงานในไร่ฝ้าย สนธิสัญญานี้ลงนามกัน ที่เมือง Ghent ประเทศเบลเยี่ยม ในวันที่ 24 ธันวาคม ปีค.ศ. 1814 คู่ภาคีสนธิสัญญาฉบับนี้ ต่างตกลงกัน ตามสนธิสัญญานี้ ที่จะแลกเปลี่ยนสัตยาบัน ภายในเวลา สี่เดือนนับแต่วันที่ได้ลงนามในสนธิสัญญานี้ ที่ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เราเรียกสนธิสัญญานี้ว่า “Treaty of Ghent, 1814”
๔. ต่อมาในปีค.ศ. 1842 เมื่ออังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ตกลงกันในเรื่องเส้นเขตแดนระหว่างรัฐเมนของสหรัฐอเมริกา กับแคนนาดา (ประเทศ หรือ ดินแดนในอารักขาของอังกฤษ ) อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ก็ได้มีการทำสนธิสัญญากันในชื่อว่า “The Webster – Ashburton Treaty, 1842 สนธิสัญญาฉบับนี้ มีการแลกเปลี่ยนตราสาร เพื่อให้บังคับตามสนธิสัญญา เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ปีค.ศ. ๑๘๔๒ และให้มีผล เป็นการประกาศบังคับใช้ในระหว่างรัฐคู่ภาคีในวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ปีค.ศ. ๑๘๔๒ ความในสนธิสัญญาฉบับนี้ นอกจากจะมีข้อสนธิสัญญาผูกพันกันในเรื่องดินแดน ยังประสงค์ที่จะผูกพันบังคับกันในเรื่อง การส่งผู้ร้ายข้ามแดน และในเรื่องข้อห้ามการค้าทาสทางทะเล หรือ ทางเรืออีกด้วย. (มีต่อ)



การค้ามนุษย์ข้ามชาติ (the Human Trafficking on Transnational Plane)

การค้ามนุษย์ข้ามชาติ (the Human Trafficking on Transnational Plane)

การค้ามนุษย์ข้ามชาติ (the Human Trafficking on Transnational Plane)

๑. เมื่อเราพูด หรือ กล่าวถึง “การค้ามนุษย์ข้ามชาติ” นั้น เท่าที่ปรากฏหลักฐานในประวัติศาสตร์มนุษย์นั้น เริ่มมาจากปีค.ศ. ๑๒๐๐ จนถึงปีค.ศ. ๑๕๐๐ ประเทศแรกที่บัญญัติให้ “การค้ามนุษย์ข้ามชาติ เป็นความผิดต่อกฏหมาย” ก็คือประเทศอังกฤษ ในขณะนั้น อังกฤษเริ่มเป็น และต่อมาได้เป็นชาติมหาอำนาจทางทะเล ซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่า การค้ามนุษย์ว่า เป็น“การค้าทาส” (Trading on Slavery) โดยอังกฤษ อ้างเอาข้อห้าม มิให้มีการค้าทาส มาจากหลักในทางศาสนา ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้มีการไปไล่จับคนในทวีปอาฟริกา พรากเขามาจากแผ่นดินแม่ของเขา เพื่อเอาไปเป็นทาสใช้แรงงานในอาณานิคมทั้ง ๑๓ แห่งบนทวีปอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไปใช้เป็นแรงงานในไร่ฝ้าย เพื่อเก็บฝ้ายในมลรัฐทางใต้ของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น ยังดำรงสถานะเป็นอาณานิคมของอังกฤษ (จากบทความเรื่อง Transnational regimes for combating in persons: Reflections on the UN Protocol to Prevent, Suppress and Punish Trafficking in Persons, Dr. Emmanuel Obuah, Assistant Professor, Department of Behavioral Sciences, Alabama A&M University)
๒. ในเวลาต่อมา เราก็ได้เห็น ข้อห้ามมิให้มีการค้าทาส เป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นในสนธิสัญญาสองฝ่าย หรือ ทวิภาคี (Bilateral Treaty) ในระหว่างสหรัฐอเมริกา กับอังกฤษ ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรในสนธิสัญญาสงบศึกระหว่าง สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ในสงครามประกาศอิสรภาพของสหรัฐ ที่ลงนามกันที่กรุงปารีส ที่เรียกว่า “The Paris Treaty of September 30, 1783” ที่ท่านผู้ใฝ่รู้ทั้งหลายอาจค้นคว้าผ่านเครื่องอ่านของกูเกิ้ล โดยพิมพ์วลีว่า “Avalon Project” แล้วพิมพ์ชื่อสนธิสัญญานี้ใส่บนมุมขวาของหน้าแรกของ “Avalon Project” ท่านก็สามารถ Download เอาสนธิสัญญานี้มาศึกษาได้โดยละเอียด
๓.ในปีค.ศ. 1814 อังกฤษ และ สหรัฐอเมริกา ได้มีการลงนามในสนธิสัญญาสองฝ่าย “ห้ามทำการค้าทาส ทางเรือ” ทั้งนี้ เพื่อป้องกัน มิให้มีการนำ ทาสผิวดำจากทวีปอาฟริกาเข้าสู่มลรัฐทางใต้ ของสหรัฐอเมริกา เพื่อไปทำงาน เป็นทาสแรงงานในไร่ฝ้าย สนธิสัญญานี้ลงนามกัน ที่เมือง Ghent ประเทศเบลเยี่ยม ในวันที่ 24 ธันวาคม ปีค.ศ. 1814 คู่ภาคีสนธิสัญญาฉบับนี้ ต่างตกลงกัน ตามสนธิสัญญานี้ ที่จะแลกเปลี่ยนสัตยาบัน ภายในเวลา สี่เดือนนับแต่วันที่ได้ลงนามในสนธิสัญญานี้ ที่ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เราเรียกสนธิสัญญานี้ว่า “Treaty of Ghent, 1814”
๔. ต่อมาในปีค.ศ. 1842 เมื่ออังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ตกลงกันในเรื่องเส้นเขตแดนระหว่างรัฐเมนของสหรัฐอเมริกา กับแคนนาดา (ประเทศ หรือ ดินแดนในอารักขาของอังกฤษ ) อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ก็ได้มีการทำสนธิสัญญากันในชื่อว่า “The Webster – Ashburton Treaty, 1842 สนธิสัญญาฉบับนี้ มีการแลกเปลี่ยนตราสาร เพื่อให้บังคับตามสนธิสัญญา เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ปีค.ศ. ๑๘๔๒ และให้มีผล เป็นการประกาศบังคับใช้ในระหว่างรัฐคู่ภาคีในวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ปีค.ศ. ๑๘๔๒ ความในสนธิสัญญาฉบับนี้ นอกจากจะมีข้อสนธิสัญญาผูกพันกันในเรื่องดินแดน ยังประสงค์ที่จะผูกพันบังคับกันในเรื่อง การส่งผู้ร้ายข้ามแดน และในเรื่องข้อห้ามการค้าทาสทางทะเล หรือ ทางเรืออีกด้วย. (มีต่อ)



การค้ามนุษย์ข้ามชาติ (the Human Trafficking on Transnational Plane)

โอกาสดีสำหรับพี่น้องชาวแคลิฟอร์เนีย ที่จะให้ความรู้แก่ฑูตไทยในอเมริกา เรื่องการรับใช้คนไทย ไม่ใช่รับใช้ศักดินา


นี่เป็นโอกาสดีสำหรับพี่น้องชาวแคลิฟอร์เนีย ที่จะให้ความรู้และความเห็นแก่ฑูตไทยในอเมริกา เรื่องการรับใช้คนไทย ไม่ใช่รับใช้ศักดินา คุณมังกร จะได้รวบรวมสิ่งเหล่านี้ สะท้อนออกมาทางวิชาการ ซึ่งอาจจะเป็นกระจกสะท้อนให้ฑูตในอนาคตทั้งหลายให้มีจิตสำนึกการรับใช้เงินภาษีอากรของประชาชน ที่จ่ายเป็นเงินเดือนและเงินสวัสดิการให้พวกเขา รวมถึงเงินที่ใช้ประกอบการทำงาน ที่น่าจะสูงกว่าผู้ทำงานราชการในไทยทั้งหลาย

เชิญให้ความร่วมมือกับกิจกรรมวิชาการนี้นะครับ เพื่อสาธารณประโยชน์


_________________________________
ลิ้งค์: https://docs.google.com/forms/d/1d9_ZQsbio_Q0Yyuzue4qFD5n7rgUI9V_EQz2-EOxf_0/viewform

เรียน ผู้นำชุมชนไทย และสื่อมวลชนไทยทุกท่าน
ด้วยคุณมังกร ประทุมแก้ว อดีตรองกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนแจลิส ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ในหลักสูตรนักบริหารชั้นสูง (นบส.) ของสำนักงาน ก.พ. โดยกำลังทำรายงานเพื่อนำเสนอเกี่ยวกับชุมชนไทยในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งท่านเคยประจำการอยู่กว่า 4 ปี
และโดยที่ท่านมังกร ฯ มีความผูกพันที่ลึกซึ้งกับชุมชนไทยในมลรัฐแคลิฟอร์เนียเป็น อันมาก และประสงค์ที่จะเห็นพี่น้องชุมชนไทยได้รับบริการและความช่วยเหลือต่างๆ จากภาครัฐของไทยเป็นไปด้วยดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จึงได้เลือกทำงานวิจัยดังกล่าว ซึ่งเป็นหัวข้อที่ค่อนข้างยาก และต้องใช้เวลาและความทุ่มเทเป็นอันมาก นอกจากนี้ การทำงานวิจัยที่ดีเกี่ยวกับชุมชนไทยในแคลิฟอร์เนียจะเป็นไปไม่ได้เลย หากไม่มีการสอบถามความเห็นและรับฟังมุมมองจากพี่น้องชุมชนไทย
ใน การนี้ จึงใคร่ขอความกรุณาพี่น้องชุมชนไทยทุกท่านให้ความร่วมมือในการทำงานวิจัยดัง กล่าว โดยตอบแบบสอบถามที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยนี้ จาก link ข้างล่างนี้:
ในที่สุดแล้ว หากงานวิจัยชิ้นนี้ประสบความสำเร็จออกมาได้ดี ผลประโยชน์ก็จะตกกับพี่น้องชาวไทยนั่นเอง
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาให้ความร่วมมือกรอกแบบสอบถามนี้ต่อไปด้วย จักเป็นพระคุณยิ่ง
สัณห์ อรุณรักษ์ติชัย
กงสุล
สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส

ท่านสามารถตอบจากเฟรมข้างล่างนี้ หรือตามลิ้งค์ไปที่
https://docs.google.com/forms/d/1d9_ZQsbio_Q0Yyuzue4qFD5n7rgUI9V_EQz2-EOxf_0/viewform?usp=send_form













โอกาสดีสำหรับพี่น้องชาวแคลิฟอร์เนีย ที่จะให้ความรู้แก่ฑูตไทยในอเมริกา เรื่องการรับใช้คนไทย ไม่ใช่รับใช้ศักดินา