Tuesday, March 24, 2015

คิดอย่างไร กับแฟชั่น "ม่วงทั้งแผ่นดิน" ในเมืองไทย?????? (โพลล์)


ท่านคิดอย่างไร กับการเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็น "สีม่วง"

ก. ชอบมาก อยากสนับสนุนเอามาวางกราบชั่วนิรันดร์
ข.​ ก็โอเคนะ ดีกว่ามั้ง
ค. เฉย ๆ อ่ะ
ง. ไม่เอา มันผิดเพศ ผิดจารีตธรรมเนียม
จ. ไม่เอาทั้งนั้น สีเสออะไร ประชาธิปไตยเฟ้ย
Poll Maker

Monday, March 23, 2015

ปรากฎการณ์ "ระพี สาคริก" ในมุมมอง ดร.ยุกติ (เครดิต คุณจอม เพชรประดับ)







อาจารย์ยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจจุบันสอนอยู่ที่ Wisconsin Medison University USA. ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia กรณี ศาสตราจารย์ ระพี สาคริก บุคคลที่สังคมไทยยกย่องให้เป็นราษฎรอาวุโส ไม่พอใจการปฎิบัติหน้าที่อย่างไม่ให้เกียร­ติ ของเจ้าหน้าที่คนไทยที่ทำงานอยู่สถานทูตเย­อรมัน ขณะที่ ศาาสตราจารย์ระพี เดินทางไปขอวีซ่าเพื่อที่จะเดินทางไปประเท­ศเยอรมันว่า เป็นปัญหาในเรื่องความคิด ความเชื่อของวิถีสังคมไทยส่วนใหญ่ที่ยังเช­ื่อว่า คนไทยมีค่าไม่เท่ากัน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่คิดว่าตัวเองเป็นชนชั้น­อภิสิทธิ์ชน มีความเหนือกว่าคนไทยโดยทั่วไป ซึ่งเป็นปัญหาสร้าง­ยู่ในเวลานี้ ปัญหานี้ มาจากระบบการศึกษาไทยที่ทำให้คนไม่เท่ากัน ระบบการศึกษาไทยมีเป้าหมายเพื่อยกฐานะตัวเ­องให้เป็นอภิสิทธิ์ชน และวิถีวัฒนธรรมการเคารพบูชาบุคคลในทุกกรณ­ี โดยไม่มีเงื่อนไข วิธีคิดแบบนี้ ชนชั้นนำทั้งหลาย ทั้งที่มีการศึกษาดี มีฐานะดี มีชาติกระกูลดี ต้องการที่จะรักษามันไว้ เพื่อตัวเองจะได้ประโยชน์ ได้อำนาจ หรือได้อยู่ในสถานะที่ได้เปรียบเหนือกว่าค­นธรรมดาทั่วไป คนกลุ่มนี้จึงพยายามสร้างให้สังคมไทยเห็นค­ุณค่าและ ให้เชื่อว่าเป็น เอกลักษณ์ที่ดีงามของวัฒนธรรมไทยที่คนไทยจ­ะต้องรักษาไว้ ทั้ง ๆ ที่เป็นไปเพื่อรักษาสถานะและผลประโยชน์ของ­อภิสิทธ์ชนมากกว่า อย่างไรก็ตาม สังคมไทยยุคใหม่ มีการตั้งคำถามถึงการดำรงอยู่ของวัฒธรรมกา­ร เคารพความอาวุโส หรือผู้มีความรู้ ความสามารถในทุกสถานกาณ์ อย่างไม่มีข้อกำจัด มากขึ้นเรื่อย ๆ และเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจในสังคมไทยในเวลานี้ จะทำให้เกิดการค้นหา และพยายามสร้างสังคมในจินตนาการใหม่ ที่ทำให้่คนไทยมีค่าของความเป็นคนเท่าเทีย­มกัน มีสิทธิในความเป็นมนุษย์เสมอกันในอนาคตอย่­างแน่นอน ซึ่งสังคมไทยในจินตนาการใหม่นี้ จะเกิดขึ้นได้ในบรรยากาศทางการเมืองที่เป็­นประชาธิปไตยเท่านั้น
ความขัดแย้งในสังคมไทยอ


ปวดตามัว ปวดศีรษะไมเกรน แชร์เป็นวิทยาทานได้ บุญมาก

ปวดตามัว ปวดศีรษะไมเกรน แชร์เป็นวิทยาทานได้ บุญมาก
ตามไปดูนะครับ





นักโทษ 112 และนักโทษการเมืองในไทยและทั่วโลก ได้รับรางวัลสันติภาพ 2557 (2014 TAHR PEACE PRIZE)


ขณะที่เผด็จการเมืองไทย ได้ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบในการกดหัวประชาชน คือใช้กฎหมายทุกรูปแบบ ใช้ความน่าเชื่อถือในตัวบุคคลและสถาบัน ใช้สมุนในสภาและนอกสภา และแม้แต่กำลังทหารที่จงรักภักดี เพื่อกำราบคนที่ใฝ่ประชาธิปไตยทุกรูปแบบ ปิดหูปิดตา ปิดกั้นการแสดงออกทุกรูปแบบ แล้วยกคนของตนเข้าไปคุมทุกเครือข่าย ใช้กำลังและกลไกเหล่านี้อย่างเต็มรูปแบบ  ปวงชนไทยหลายส่วนสยบยอม หมอบราบ หรือหันไปใช้ความรุนแรง  แต่นักโทษการเมืองที่สู้ด้วยมือเปล่า หรือนักโทษ 112 ที่สู้ด้วยความคิด ข้อมูล และความจริง แม้จะต้องคดีความ ถูกจับกุมคุมขังโดยไม่มีสิทธิต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรม แถมถูกตัดสินแบบสองมาตรฐานและไม่มีสิทธิต่อรองแม้แต่การประกันตัว  แต่พวกเขาก็ไม่ยอมกลัว ไม่ยอมก้มหัว หรือสยบยอม  ทั้งพวกที่ต้องรับโทษอย่างไม่เป็นธรรม แถมถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงหลายแบบ และพวกที่ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจเถื่อน จึงหลบหนีไปต่อสู้ยังต่างประเทศ

บุคคลเหล่านี้ สมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับการบันทึกไว้ว่า เป็นผู้ต่อสู้กับอำนาจเถื่อนที่รุนแรงและป่าเถื่อนด้วยสันติวิธี เพื่อหวังให้เผด็จการเปลี่ยนวิธีการ และให้ประชาชนร่วมชาติตาสว่าง  ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน จึงเห็นควรโดยมติเอกฉันท์ มอบรางวัลนี้ ให้กับ นักโทษ 112 และนักโทษการเมืองในไทยและทั่วโลก 

ในการนี้ ท่านจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าพรรคใหญ่ที่สุดในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ถูกปล้นอำนาจโดยรัฐบาลเผด็จการทหารของนายประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้เกียรติเป็นผู้มอบรางวัลนี้ โดย ดร.เพียงดิน รักไทย เป็นผู้แทนนักโทษ 112 และนักโทษการเมืองในไทยและทั่วโลก รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้แทน   วิดีโอและภาพประกอบ จะตามมาในเร็ว ๆ นี้


จึงขอประกาศไว้ให้เป็นเกียรติประวัติและจารึกไว้ให้เป็นแบบอย่างแก่สาธารณชนทั่วไป

ประกาศ ณ วันที่  23 มีนาคม  2558


ดร.เพียงดิน รักไทย
ประธานบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง
ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน


ภูมิพลและหลานสาว ขายหุ้น ให้ผู้ซื้อลึกลับ (อ่านแล้วคิดกันอย่างไรครับ? ของดีต้องขยาย!!)

ภูมิพลและหลานสาว ขายหุ้น ให้ผู้ซื้อลึกลับ 
Credit:  http://thainewstip.blogspot.se/2015/03/blog-post_22.html?m=1

โดย ศุลี ศรีอีสานมีนาคม 2558


กลางเดือนกุมภาพันธ์ 2558 บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยชื่อ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แจ้งรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท ที่จะมีผลใช้บังคับในเดือนมีนาคม 2558 เป็นต้นไป
เอกสารระบุว่า บริษัทอาร์พีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ RPC ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นกัน ปัจจุบันถือหุ้นสัดส่วนร้อยละ 25.25 ของสัมมากร จะซื้อหุ้นจำนวน 135,564,380 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ23.00 ของผู้ถือหุ้นลำดับที่1 และลำดับที่ 3 ภายในเดือนมีนาคม 2558 ส่งผลให้มีสัดส่วนการถือหุ้นเป็นร้อยละ 48.25ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่าในสมุดทะเบียนล่าสุดของ RPC มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดคือ นายวิชัย ทองแตง นักกฎหมายชื่อดัง และเป็นนักลงทุนที่มีพฤติกรรมล่ากิจการคนสำคัญร่วมสมัย ที่คนทั่วไปเรียกเขาว่า “ทนายทักษิณ”การซื้อขายดังกล่าว ทำให้สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า “SAMCO พุ่งชนเพดาน 29.31% รับวิชัย ทองแตงนำ RPC ถือหุ้นเพิ่ม” และชื่อของวิชัย ทองแตง ก็มีผลทำให้ราคาหุ้นวิ่งชนเพดานติดต่อกัน 3 วันรวด ก่อนจะโรยตัวลงเมื่อข้อเท็จจริงใหม่ระบุว่า ไม่มีชื่อของวิชัย เกี่ยวข้องอีกแล้ว
ข้อมูลผู้ถือ บริษัท อาร์พีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ RPC  ณ วันที่ 27/02/2558 


ส่วนผู้ขายตามที่ระบุในเอกสารชี้แจงนั้น หากดูสมุดทะเบียนของ SAMCO จะพบว่า ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (ภูมิพล) ที่เดิมถือหุ้น 171,219,800 หุ้นหรือ  29.05%  และ ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม (หลานสาว ลูกของอดีตพระพี่นางเธอ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์) ที่เคยถือหุ้น 40,891,400 หุ้น หรือ6.94 %
ข้อมูลผู้ถือหุ้น บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO  ณ วันที่ 27/02/2558


          ผลลัพธ์จากการซื้อขายดังกล่าว ทำให้ หลังจากการซื้อขายแล้ว สัดส่วนการถือหุ้นของ RPC ใน SAMCO จะเปลี่ยนไปจากเดิม 25.25มาเป็น 48.25% ในขณะที่ สัดส่วนของกษัตริย์ภูมิพล จะลดลงจาก 29.05% เป็น 8.26% และหลานสาว จะลดจาก 6.94% เป็น 4.73% ซึ่งเท่ากับในทางปฏิบัติ แล้ว RPC จะเข้าไปถือหุ้นที่เข้าไปบริหารกิจการในSAMCO ได้อย่างเต็มที่ หลังจากวันที่ตกลงในสัญญาความน่าสนใจของการซื้อขายหุ้น SAMCO ครั้งนี้อยู่ที่ว่า มีเงื่อนไขระบุชัดถึงความได้เปรียบที่ผู้ขายมีต่อผู้ซื้ออย่างชัดเจนว่า การซื้อหุ้นครั้งนี้ ผู้ซื้อคือ RPC จะไม่ได้รับเงินปันผลจำนวน 0.15 บาท/หุ้น เนื่องจาก SAMCO ประกาศกำหนดสิทธิการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล ในวันที่ 26 ก.พ.58 เท่ากับว่า คนขายหุ้นของภูมิพลกับหลานสาว นอกจากขายหุ้นได้ราคาดีแล้ว ยังได้แถมพอรับเงินผันผลต่อแก ทั้งที่ไม่ได้ถือหุ้นอยู่ในมืออีกแล้ว          เรียกว่า ภูมิพล และหลานสาว ใช้อภิสิทธิ์จนหยดสุดท้าย ก็ว่าได้คำถามที่คนไทยอยากถาม แต่ไม่กล้าเอ่ยปากในประเทศไทยอย่างเปิดเผย คือ1)   การซื้อขายหุ้นดังกล่าว มีแรงจูงใจอะไร ทั้งฝั่งของผู้ซื้อและผู้ขาย2)   ความสัมพันธ์ระหว่างภูมิพล และหลานสาว กับวิชัย ทองแตง(ในนามของ RPC)
3)   เหตุใดสัดส่วนการถือครองหุ้นของผู้ถือหุ้นหมายเลข  4 ของ SAMCO จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อทำความเข้าใจกับเงื่อนงำดังกล่าว จะต้องย้อนกลับไปทบทวนความเป็นมาของกิจการทั้งของ SAMCO และRPC เสียก่อน

SAMCO เดิมเป็นบริษัทส่วนตัวเพื่อรับจัดการหารายได้จากที่ดินในมือของทรัพย์สินส่วนกระองค์ โดยพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บ้านสัมมากร บนที่ดินที่เป็นทุ่งนาเดิม ที่ถนนสุขาภิบาลสาย 3 (ปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของถนนรามคำแหง)ในเขตสะพานสูง กทม.มายาวนานหลายทศวรรษ
ในปี 2536 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์ของไทยกำลังเฟืองฟูอย่างรุนแรงจากกระแสโลกาภิวัตน์หลังยุคสงครามเย็น ผู้ถือหุ้นและกรรมการของSAMCO ได้ตัดสินใจนำแปรรูปเป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนเพื่อระดมทุนจากตลาด ไปขยายกิจการเพื่อให้ทันกับการแข่งขัน
การยื่นของเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนครั้งนั้น ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการอย่างง่ายดาย เพราะเพียงแค่เห็นชื่อของผู้ถือหุ้นใหญ่ และกรรมการของบริษัท(ซึ่งส่วนใหญ่ทราบกันดีว่าล้วนเป็นเครือข่ายราชสำนักทั้งสิ้น) ได้เงินไปหลายร้อยล้านบาท แต่ก็ไม่ได้ทำการขายธุรกิจมากมายนักยังคงทำธุรกิจบนที่ดินแปลงเดิมที่มีอยู่มากมายต่อไป

ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อฟองสบู่เศรษฐกิจไทยแตกจนย่อยยับ SAMCO ก็ตกอยู่ในสภาพ”ชักหน้าไม่ถึงหลัง”เช่นเดียวกัน เพราะรายได้หดหาย ขาดสภาพคล่องทางการเงินรุนแรง ต้องประคองตัวให้รอดอย่างทุลักทุเล บางปีไม่มีโครงการใหม่ๆเกิดขึ้นมาเลย มีรายได้ไม่ถึงปีละ 100 ล้านบาท ต้องพึ่งพารายได้จากสถานีบริการน้ำมันในโครงการมาจุนเจือไม่ให้ขาดทุน
หลังจากผ่านวิกฤตครั้งนั้น SAMCO ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงรู้จักดี ได้กลายเป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีกิจกรรมในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์น้อยมาก เพราะมีโมเดลธุรกิจที่พ้นยุคไปแล้ว แม้ระยะหลังจะฟื้นตัวมาสร้างรายได้ระดับ 1 พันล้านบาทต่อปี ก็ไม่ได้ช่วยให้บริษัทมีกำไรมากมาย

ในช่วง 10 ปีมานี้ ราคาหุ้นของ SAMCO ไม่เคยขึ้นสูงกว่าหุ้นละ 3 บาทเลย เพราะมีผลประกอบการที่ย่ำแย่มาโดยตลอด เหตุผลสำคัญ สามารถเข้าใจได้ไม่ยากเพราะ กรรมการและผู้บริหารบริษัทนั้น ล้วนเป็น”เด็กเส้น”ในเครือข่ายราชสำนักทั้งสิ้น ไม่ใช่ผู้ช่ำชองทางด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพ แม้กระทั่งในปัจจุบัน


                   รายชื่อกรรมการล่าสุด SAMCO
รายชื่อกรรมการ
ตำแหน่ง
นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา
กรรมการผู้จัดการ
นายพงส์ สารสิน
กรรมการ
พ.ต.ต.ชินภัทร สารสิน
กรรมการ
นายธวัช อึ้งสุประเสริฐ
กรรมการ
นายกวี อังศวานนท์
กรรมการ
นายสัจจา เจนธรรมนุกูล
กรรมการ
นายพิพิธ พิชัยศรทัต
กรรมการ
นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา
กรรมการอิสระ
นายอนุทิพย์ ไกรฤกษ์
กรรมการอิสระ
นายสิทธิชัย จันทราวดี
กรรมการอิสระ
นายธวัชชัย ช่องดารากุล
กรรมการอิสระ
นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา
ประธานกรรมการตรวจสอบ
นายสิทธิชัย จันทราวดี
กรรมการตรวจสอบ
นายธวัชชัย ช่องดารากุล
กรรมการตรวจสอบ

           ทางด้าน RPC ก็มีที่มาค่อนข้างแปลก บริษัทดังกล่าว อาศัยสายสัมพันธ์กับผู้บริหารกลุ่ม ปตท.ในอดีต ก่อตั้งบริษัทมาในปี 2538 โดยมีข้อตกลงว่า จะให้ปตท.เป็นผู้ป้อนวัตถุดิบสำหรับโรงงานกลั่นน้ำมันชนิดพิเศษ ที่ไม่ได้ซื้อน้ำมันดิบมากลั่น แต่ใช้วัตถุดิบเหลือใช้จากโรงงานปิโตรเคมีในกลุ่มปตท. ที่เรียกว่า กากคอนเดนเสท (Condensate Residue หรือ CR)
การพึ่งพาวัตถุดิบจากบริษัทในกลุ่ม ปตท. ดำเนินการมีกำไรมาได้ด้วยดีมากกว่า15 ปี มีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันใต้เครื่องหมายการค้า PURE นับ 100 แห่ง จนกระทั่งสามารถแต่งตัวเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในปี 2546 ในปี 2555 กลุ่มปตท. ได้บอกเลิกสัญญาจัดส่งกากคอมเดนเสทซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสาหรับโรงกลั่นน้ามันของRPC ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 ทำให้ RPC ไม่สามารถดำเนินการผลิตต่อไปได้ ต้องปิดโรงงานทิ้งไป เหลือแต่ชื่อของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทจำต้องดิ้นรนเพื่อให้มีทรัพย์สินเพื่อสร้างรายได้ต่อไป โดยอาศัยเงินสดเดิมที่มีอยู่ในกิจการเพื่อดำเนินการต่อไป
 RPC ได้เจรจากับกับ SAMCO เพื่อเข้าถือหุ้นบางส่วน หวังรักษาที่มาของรายได้ต่อไปให้ได้ โดย SAMCOทำการเพิ่มทุนในปี 2556 จาก 450 ล้านบาท เป็น 589.41 ล้านบาท เพื่อขายให้กับ RPC กลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2
เงินที่ได้รับจาก RPC ทำให้ SAMCO สามารถเพิ่มโครงการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่อไปได้ เติบโตสร้างรายได้และกำไรให้เห็นชัดเจน แม้จะไม่มากนัก




ต่อมาในปี 2557 คณะกรรมการของ RPC ได้ทำการเพิ่มทุนครั้งใหญ่จาก 802.87 ล้านบาท เป็น 1,304.66 ล้านบาท เพื่อขายให้กลุ่มนายวิชัย ทองแตง จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยนายวิชัยตั้งเป้าหมายว่า จะทำให้ RPC ที่ขาดทุนต่อเนื่องมาหลายปี กลับมาทำกำไรด้วยการปรับธุรกิจมุ่งสู่ธุรกิจพลังงานทางเลือกหรือพลังงานไฟฟ้า
นายวิชัยถือหุ้น RPC มาได้ไม่นานก็ประกาศว่า มีความขัดแย้งในเป้าหมายธุรกิจกับกลุ่มผู้ถือหุ้นอื่นของ RPC จึงได้ประกาศขายหุ้นทิ้งไปทั้งหมด โดยขายในตลาดชนิดที่”ตัดขาดทุน” ข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงชัดเจนว่า การซื้อขายหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ SAMCO เพื่อให้ RPC เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดดังกล่าว จึงไม่เกี่ยวข้อกับนายวิชัย ทองแตง แม้แต่น้อย แม้ว่าจะมีชื่อของนายวิชัยติดอยู่โดยนิตินัยที่ RPC อยู่
ปริศนาของการขายหุ้นของภูมิพลและหลานสาว โดยที่ลูกสาวไม่ได้ขายออกด้วยจึงเป็นปริศนาที่ชวนให้ตั้งคำถามเช่นกันว่า เกิดจากอะไรกันแน่ ซึ่งกุญแจที่จะไขความลับนี้ อยู่ที่รายชื่อของผู้ถือหุ้นใหญ่สุดคนใหม่ของ RPC ที่ถือต่อจากนายวิชัย ทองแตง เป็นสำคัญ ซึ่งจนถึงวันนี้ ยังไม่ปรากฏตัวออกมา
          ปริศนาของการขายหุ้นนี้ ทำให้เกิดคำถามตามว่า การปิดบังรายชื่อผู้ซื้อที่แท้จริง โดยซ่อนอยู่ในรูปของนิติบุคคลอย่าง RPC จะเป็นนิติกรรมอำพรางเพื่อซ่อนเร้นทรัพย์สินของภูมิพลกับเครือข่ายราชสำนัก ในช่วงเวลาที่ใกล้หมดอายุขัย หรือไม่
          ความเป็นไปได้ทางหนึ่งคือ การขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี ดังนั้น หากจะมีการถ่ายโอนความมั่งคั่งส่วนตัวไปให้กับบุคคลอื่น การอำพรางว่าเป็นการซื้อขายหุ้น จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพราะนับแต่กฎหมายมรดกผ่านมามีผลบังคับใช้ในหลายเดือนมานี้ มีการโอนทรัพย์สินในรูปขายหุ้นอย่างมากมาย กรณีนี้อาจจะเป็นข้อสังเกตได้ แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน
          คำตอบของเงื่อนงำในกรณีนี้ เป็นสิ่งที่ต้องค้นหา แม้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาบ้าง


ใครจะรู้บ้างว่า ลี กวน ยู ผู้ยิ่งใหญ่นั้น มีมันสมองสำคัญ ที่ปรึกษาส่วนตัว เป็นคนไทย!!!

มีพี่น้องฝากมาทางไลน์ ...
ลองอ่านและพิจารณาดูนะครับ



ที่น่าเสียดายคือไม่มีคนไทยเคยรู้ว่า
ที่ปรึกษาคนสำคัญของลีกวนยู
เป็น ดร.ด้านเศรษฐศาสตร์ คนไทยสอนที่ ม เกษตร เป็นที่ปรึกษาตั้งแต่ตั้งประเทศ
ที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติอะไรเลย นอกจาก คนจีนที่ถูกไล่ที่ทำกิน ให้ออกมาจากมาเลย์ กับเกาะร้าง ไม่มีแม้แต่น้ำจืด ตัองซื้อจากมาเลย์ทุกสิ่งทุกอย่าง จนกลายเป็นประเทศผู้นำทางศูนย์กลางการค้า อู่ต่อเรือ ศูนย์การเงิน ตลาดหลักทรัพย์ ที่รวยที่สุดในอาเซี่ยน เพราะ ดร. อุทิศ นาคสวัสดิ์ ชาวอัมพวา ผู้มีความสามารถทางเศรษฐศาสตร์ระดับโลก ที่รัฐบาลไทยกล่าวว่า ดร อะไร วันๆเอาแต่เล่นดนตรีไทยร้องเพลงไทย จะมาช่วยรัฐบาลพัฒนา ศก. ของไทยได้หรือ? 
 
ไก่ได้พลอย ลีกวนยู รู้ จึง จ้าง ดร. อุทิศ ไปเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว และ ครม. ตลอดชีวิต
เขาบินไปกลับทำงานให้สิงคโปร์แทบทุกวัน จนสิงค์โปร์ประสบความสำเร็จรวยที่สุดในอาเซี่ยน ดร. เสียชีวิตไปเมื่อสิบห้าปีที่แล้วด้วยอายุ90ปีเศษเช่นเดียวกัน วันพระราชทานเพลิงศพ ลีกวนยูและ ครม.ของเขามาเคารพศพ ดร. อุทิศ ที่กรุงเทพ ทั้งคณะ

 นี่คือประวัติของท่านดร. อุทิศ​  นาคสวัสดิ์ ครับ

http://archives.psd.ku.ac.th/kuout/p544.html





อ.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน ได้รับรางวัล 2014 TAHR AHIMSA AWARD เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ศกนี้



อาจารย์ชูพงศ์ ถี่ถ้วน ได้รับรางวัล 2014 TAHR AHIMSA AWARD จากภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ในการประชุมประจำปีขององค์กร ณ เมือง  Paramount มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่  22 มีนาคม 2558  โดยดร.เพียงดิน รักไทย ประธานบริหารภาคีฯ ได้กล่าวว่า อ.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน เป็นผู้เสียสละ ที่มุ่งสร้างประชาธิปไตย โดยการพากเพียรให้ความรู้เรื่องปัญหาเชิงโครงสร้าง อันเป็นฐานของการสร้างความเข้าใจเพื่อการเปลี่ยนระบอบอย่างสันติ  และท่านได้ทำมาตลอดเวลาหลายปี  โดยไม่คำนึงถึงอันตรายและความเสียหายที่ได้เกิดแก่ตัวเองและครอบครัว  เป็นตัวอย่างแก่สาธารณชน จึงสมควรยกย่องไว้ให้ปรากฏ

นอกจากนี้ ท่านยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมหาวิทยาลัยประชาชน และภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน โดยได้ดำรงตำแหน่งกรรมการอำนวยการของภาคีฯ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่  28 มีนาคม 2555 ด้วย

ในการนี้ ท่านจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าพรรคใหญ่ที่สุดในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ถูกปล้นอำนาจโดยรัฐบาลเผด็จการทหารของนายประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้เกียรติเป็นผู้มอบรางวัลนี้  วิดีโอและภาพประกอบ จะตามมาในเร็ว ๆ นี้

จึงขอประกาศไว้ให้เป็นเกียรติประวัติและจารึกไว้ให้เป็นแบบอย่างแก่สาธารณชนทั่วไป

ประกาศ ณ วันที่  23 มีนาคม  2558


ดร.เพียงดิน รักไทย
ประธานบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง
ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน


ลิ้งค์ข่าวอย่างเป็นทางการของภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน http://tahr-global.org/?p=22177