มหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อการปฏิวัติประชาชนโดยสันติ Truths :: Peace :: Revolution :: Universal Human Rights :: Democracy (TPRUD)
Monday, March 23, 2015
คนไทยต้องอ่าน! - "ยุทธการรุมยิงนกในกรง" โดย พล.อ.อดุล อุบล
Credit: มติชนสุดสัปดาห์
ฉบับประจำวันที่ 7-13 มีนาคม 2557
ฝากไว้ ให้ตราตรึง
พล.อ.อดุล อุบล
--------------
ยุทธการ "รุมยิงนกในกรง"
--------------
ผมขออนุญาตอีกครั้งหนึ่งครับ ด้วยที่ผมคงต้องเขียนอะไรแรงๆ ลงไปในตอนนี้ เนื่องจากความรู้สึกที่อดสูและสมเพชในบุคคลหลายคนที่ไม่ควรจะเป็นได้ถึงตำแหน่งเหล่านั้น
มันเป็นเรื่องที่พวกเราคงทราบดีกันแล้วจากสื่อเป็นเรื่องที่ hot ที่สุดเรื่องหนึ่งในสังคมตอนนี้ และจะเป็นเรื่องที่มีผลในทางคดีความกันไปอีกนาน และอาจจะเป็นความแตกแยกภายในชาติอีกระดับหนึ่ง ถ้าแก้ไขกันไม่ถูกต้อง
ผมไม่ได้รับหนับสือเสนาธิปัตย์มาเป็นปี ทั้งๆ ที่จ่ายเงิน (โดนหักโดยอัตโนมัติ) มาตลอด ก็ไม่ทราบเรื่องราวอัปยศเช่นนี้ มาทราบก็ต่อเมื่อมีการออกมาวิจารณ์กันทางสื่อเรียบร้อยแล้ว และก็มีทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องโทรศัพท์มาถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วย
ทั้งพี่และน้องเหล่านั้นพูดเหมือนกันว่า "มันเป็นทหารกันหรือเปล่าวะ" สามารถออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้อาวุธสงครามที่จัดหามาจากภาษีอากรของประชาชน สังหารประชาชนมือเปล่า
แล้วยังมีหน้ามาวิเคราะห์บทเรียนจากการปฏิบัติการนั้นว่าสำเร็จอย่างเลอเลิศสรรเสริญและชื่นชมกันราวกับ"วีรบุรุษสงคราม" ผู้พิชิตชัยชนะในสงครามเต็มรูปแบบกับประชาชน ภายในชาติของตนเองที่มีแต่มือเปล่า และเต็มไปด้วยเด็ก ผู้หญิง และคนแก่
ผมอยากจะทราบว่า ถ้าผู้ที่มาร่วมชุมนุมเหล่านั้นถืออาวุธมาจากบ้าน อย่างน้อยปืนสั้นหรือปืนยาวคนละกระบอกพร้อมกระสุนตามมีตามเกิด ภาพมันจะเป็นอย่างนี้ไหม
บางคนบอกว่า การวิเคราะห์ "บทเรียนจากการกระชับวงล้อม" (ในหนังสือเสนาธิปัตย์) ผู้วิเคราะห์ถูกสั่งให้กระทำเพื่อเป็นการเอาใจ (มันก็ประจบสอพลอนั่นแหละวะ) ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ามันจะถูกกระทำขึ้นเพื่อเป็นการเอาใจ หรือเพื่อการเป็นการนำไปใช้ฝึกและศึกษา หรือเป็นองค์ความรู้ทางวิชาการ หรือเพื่อเป็นการอยากจะบอกความจริงของผู้วิเคราะห์ก็ตาม มันก็เป็นประวัติศาสตร์อัปยศของกองทัพอยู่ดี
ผมอยากจะรู้ว่าเราจะเอาประสบการณ์ องค์ความรู้ หรือ ผลแห่งความสำเร็จนี้ไปอวดใครที่ไหน
อย่าว่าแต่กับประชาชนภายในชาติเลย ต่อให้ทหารต่างชาติและสังคมโลก เขาคงจะต้องสมเพชกองทัพไทยแน่
ผมมีความภาคภูมิใจมากในอดีตที่เคยดำรงตำแหน่งสำคัญอยู่ทั้ง 2 หน่วยนี้ คือ อาจารย์อำนวยการส่วนวิชายุทธวิธี รร.เสนาธิการทหารบก
และก่อนหน้าที่จะเป็นพลเอกนี้ ผมเป็นเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก เป็นตำแหน่งที่เขาขนานนามกันว่า "ครูใหญ่ของกองทัพบก"
ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าหน่วยที่ผมภาคภูมิใจจะทำเอกสารทางวิชาการออกมาได้แบบนี้
ผมอยากจะถามว่า พวกท่านมีความรู้สึกเป็นวีรบุรุษและมีความภาคภูมิใจมากนักหรือกับความเป็นจริงเหล่านี้
1. ท่านใช้กำลังทหาร 4 กองพล ซึ่งเท่ากับ 1 กองทัพน้อย (corps) ที่กองทัพ US ใช้เป็น Main effort (ME) ในการขับไล่กองทัพอิรักออกจากการยึดครองประเทศคูเวต แต่พวกท่านเอามาใช้ล้อมปราบประชาชนที่ไม่มีอาวุธ และเต็มไปด้วยเด็ก ผู้หญิง และคนแก่
2. ท่านใช้พลซุ่มยิงทั้งกองทัพ รุมยิงเป้าหมายผู้ชุมนุมที่ถูกล้อมอยู่ ดุจดัง ยิงนกในกรง
3. ท่านประกาศว่าเป็นการทำสงครามเต็มรูปแบบกับประชาชนภายในชาติด้วยกำลังรบผสมเหล่า ทั้งทหารราบ ทหารม้ายานเกราะ หน่วยบิน พลซุ่มยิง หน่วยรบพิเศษ หน่วยส่งทางอากาศ ขาดแต่อาวุธปืนใหญ่ นี่ยังไม่นับหน่วยข่าวกรองอีกจำนวนมาก
4. ท่านมีความภาคภูมิใจว่ามีการวางแผนประณีตมีการซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดี
5. ท่านให้ข้อมูลที่ทำให้แน่ใจได้ว่ามีการสมรู้ร่วมคิดกันระหว่างฝ่ายการเมืองและฝ่ายทหารเป็นอย่างดี เพราะทั้งรัฐบาลและกองทัพมีความเป็นเอกภาพ มีการสั่งและควบคุมการปฏิบัติการอย่างสมบูรณ์แบบตามลำดับสายการบังคับบัญชา (Chain of Command)
6. ท่านชี้ให้เห็นถึงการใช้กระสุนจริงเป็นผลดีต่อขวัญและกำลังใจของทหาร โดยเฉพาะมีการประกาศเขตใช้กระสุนจริงใน down town ของ กทม.
แค่นี้ผมก็อยากจะอ้วกแล้วครับ
ผมคิดว่าท่านกำลังจะทำให้นายทหารรุ่นหลังๆ เข้าใจผิดไปว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เป็นบทบาทและหน้าที่ของทหารของชาติอย่างแท้จริง หรือก็เพราะไอ้ชัยชนะแบบนี้เองหรือเปล่าที่ทำให้หลงคิดว่ารบเก่งกันทั้งกองทัพอยู่ทุกวันนี้
เคยคิดในมุมมองอื่นกันบ้างหรือไม่ว่าเหตุการณ์นี้ต้องทำบทเรียน (Lesson Learn) แน่นอน
แต่ทำอีกด้านหนึ่งคือวิจารณ์ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้อีก
และถ้ามันเริ่มมีอาการเราจะหยุดอาการเหล่านั้นตั้งแต่แรกอย่างไร
จะดับเหตุแห่งความขัดแย้งในสังคมตั้งแต่แรกได้อย่างไร
เมื่อถึงขั้นที่การควบคุมจะเป็นไปไม่ได้แล้วใครจะเป็นฝ่ายเสียสละระหว่างประชาชนส่วนใหญ่หรือรัฐบาล
บทวิเคราะห์ของ ยศ.ทบ. กรณีนี้ไม่ได้อะไรแก่สังคมนอกจากการขยายช่องว่างของความขัดแย้งและความแตกแยกในสังคมไทยให้มากขึ้นไปอีก และได้คิดกันบ้างหรือเปล่าว่าข้อเท็จจริง (Facts) ที่ท่านเอามาเป็นหลักฐานในการวิเคราะห์นั้น มันจะกลับมาเป็นพยานหลักฐานว่าบรรดาฝ่ายการเมืองและผู้นำทหารกล่าวเท็จกับสาธารณชนไว้อย่างไรบ้าง แล้วมันจะนำไปฟ้องเป็นคดีความกันได้มากน้อยขนาดไหน
ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งคือ มันเป็นการยอมรับกับผู้ชุมนุมว่ารัฐบาลไม่เคยมีความมุ่งหมายในการเจรจานอกจากการสลายการชุมนุมเท่านั้น
จึงเท่ากับส่งสัญญาณให้ฝ่ายชุมนุมตระหนักว่าในการชุมนุมครั้งต่อไป ไม่ว่าจะชุมนุมด้วยความสงบและปราศจากอาวุธหรือไม่ พวกเขาจะต้องถูกปราบปรามด้วยความรุนแรงและด้วยกำลังทหารแน่นอน
ดังนั้น จะเป็นอะไรไปถ้าพวกเขาจะนำอาวุธประจำบ้านตามมีตามเกิดติดตัวมาด้วยเพื่อป้องกันตนเอง แล้วอะไรมันจะเกิดขึ้น
ผมไม่อยากนึกถึงภาพเลย (เขียนเมื่อ 30 มิถุนายน 2554)
ปฏิบัติการ "ป้ายร้าย - ใส่สี"
ผมได้อ่านบทความเรื่อง บทเรียนจากการปฏิบัติการข่าวสาร กรณี ปปส. ในเมือง (มีนาคม-พฤษภาคม 2553) ที่ตีพิมพ์ลงในหนังสือเสนาธิปัตย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องจากบทเรียนยุทธการกระชับวงล้อม อดไม่ได้ที่จะต้องเขียนมาเสนอความเห็นและแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนๆ และบุคคลทั่วไปครับ
ผมเชื่อว่าทุกคนเข้าใจที่มาที่ไปของเหตุการณ์ มีนาคม-พฤษภาคม 2553 และรู้ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นมากมายปานใด มันส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือในสถาบันต่างๆ โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรม สถาบันการเมืองการปกครอง และสถาบันความมั่นคงของประเทศ (ทหาร, ตำรวจ) อย่างไร
และที่สำคัญที่สุดคือ ความแตกแยกของพลเมือง (country men) ทุกหัวระแหงอย่างที่ผมไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต จนกระทั่งวันนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าจะกลับไปเหมือนเดิมได้อีกหรือไม่
เห็นไหมล่ะครับว่าการใช้กำลังทหารซึ่งเป็นของทุกคนภายในชาติไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด สีใด ยากดีมีจนเพียงใด ออกมาจัดการกับประชาชนภายในชาติอีกฟากหนึ่ง ซึ่งตรงข้ามกับผู้มีอำนาจในประเทศมันมีแต่ผลเสียเกินกว่าที่จะคาดคิดนัก
เพราะเหตุว่าในท้ายที่สุดแล้ว มันจะไม่มีฝ่ายใดชนะ มันจะมีแต่ความพ่ายแพ้ของทุกฝ่ายอย่างถาวร
เมื่อนำทหารถืออาวุธออกมา ความตึงเครียดของทุกฝ่ายย่อมทวีขึ้นแน่นอน เมื่อเกิดความสูญเสียขึ้นจะส่งผลสำคัญให้ฝ่ายที่สูญเสียโกรธ เกลียด ชิงชัง เคียดแค้น ความต้องการหาความยุติธรรมให้ฝ่ายตนด้วยการแก้แค้นทุกวิถีทางก็จะเกิดขึ้น
สำหรับฝ่ายที่ทำให้สูญเสียจะเกิดความกลัวความผิดจากการกระทำของตนเองก็จะต้องป้องกันทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองและพวกพ้องพ้นความผิด
สถานการณ์เช่นนี้จะจบลงเมื่อใดและอย่างไรคงยากที่ผู้ใดจะตอบได้เวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องแสดงให้ทุกฝ่ายได้เห็น
บรรดาประเทศที่ศิวิไลซ์เขาจึงต้องกันกองทัพประจำการของชาติของเขาไว้ไม่ให้ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้เพื่อประกันไม่ให้กองทัพต้องตายไปจากหัวใจของประชาชนพี่น้องร่วมชาติ
เมื่อเรานำกองทัพถืออาวุธออกมาและสถานการณ์ได้พัฒนาตัวของมันเองไกลออกไปจนเกิดความรุนแรง กองทัพก็ต้องนำวิธีการทางทหารทุกประการออกมาใช้เพื่อให้ได้ชัยชนะ
โดยไม่ได้คิดว่าตามปกติแล้ววิธีการทางทหารนั้นเขาใช้กับข้าศึกที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับประชาชนและประเทศชาติของเรา เดียวกับการที่กองทัพ และ ศอฉ. ได้นำการปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation) หรือ IO มาใช้ในการสนับสนุนการสลายมวลชนใน มีนาคม-พฤษภาคม 2553 IO นั้นเป็นกระบวนการทั้งถูกต้องและไม่ถูกต้อง ใช้ทั้งความดีและความชั่วร้าย ใช้ทั้งความจริงและการโกหกหลอกลวงที่ฝ่ายเรากระทำต่อข้าศึกเพื่อให้ได้ผลทั้งทางกายภาพและทางจิตวิทยา โดยเฉพาะต่อข้าศึก ทำให้ข้าศึกตกเป็นเบี้ยล่างของฝ่ายเราในทุกด้านของการปฏิบัติการทางทหาร
เมื่อฝ่่ายเรากระทำต่อข้าศึกมันไม่เป็นอะไรหรอกครับเพราะฝ่ายข้าศึกเขาก็ยอมรับกฎกติกาในเรื่องนี้ของการทำสงครามซึ่งฝ่่ายเขาก็จะทำกับฝ่่ายเราซึ่งเป็นข้าศึกของฝ่่ายเขาเช่นกัน
เมื่อเสร็จสิ้นสงครามไม่ว่าฝ่ายใดจะแพ้หรือชนะก็จบกันไปไม่ได้มาเกี่ยวข้องกันหรือมีความสัมพันธ์กัน ต้องอยู่ด้วยกันในฐานะคนร่วมชาติเดียวกัน
แต่เมื่อฝ่ายกองทัพ และ ศอฉ. นำเรื่องของ IO ตามที่กล่าวมาแล้วมาใช้กับประชาชนซึ่งเป็นพี่น้องร่วมชาติ อะไรมันจะเกิดตามมาเมื่อจบเหตุการณ์แล้ว
และยิ่งไปกว่านั้น ผู้มีอำนาจของฝ่าย ศอฉ. ยังขยายความเจ็บแค้นต่อไปอีกด้วยการสั่งให้ฝ่ายตนเองวิเคราะห์บทเรียนแห่งความสำเร็จจากการหลอกลวงประชาชน ให้สังคมได้รับทราบอย่างภาคภูมิและมีเกียรติยิ่ง
มันเป็นเรื่องของเกียรติยศและน่าภาคภูมิใจมากนักหรือกับการที่ท่านป้ายความชั่วร้ายให้แก่อีกฝั่งฟากหนึ่งด้วยข้อหาร้ายกาจสุดโต่งที่ไม่ต้องการพิสูจน์และไม่ต้องมีหลักฐานและกับการที่ใส่สีสัน เพิ่มความรุนแรงน่ากลัวของสถานการณ์ลงไปด้วยการตัดต่อภาพนิ่งและภาพวิดีโอ (ตามที่ท่านได้ยอมรับไว้ในเอกสาร) เพื่อสร้างความเลวร้ายให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้ประชาชนในชาติยอมรับความจำเป็นในการปราบปราม
เนื่องจากสอนใน รร.เสนาธิการทหารบกมาหลายรุ่น ผมเข้าใจและรู้ว่าปัจจัยแห่งการได้รับชัยชนะในการทำสงครามนั้นประการสำคัญประการแรกคือ ความชอบธรรม (Legitimacy) ในการทำสงคราม
และสาเหตุแห่งความชอบธรรมนั้นมันสร้างกันได้ และบางครั้งก็ต้องสร้างขึ้นมาเองด้วย
ผมก็สอน นทน.รร.สธ.ทบ. ไปหลายรุ่น แต่ผมไม่เคยหวังให้พวกเขาเหล่านั้นนำมาใช้กับเพื่อนร่วมชาติ
ทหารในกองทัพชาติจะต้องเป็นสุภาพบุรุษ เป็นผู้ดี เป็นที่พึ่งของชนในชาติ ไม่มีวันที่พวกเขาจะโกหกพี่น้องร่วมชาติเพื่อความชอบธรรมได้ พวกเขาจึงจะสามารถประทับอยู่กลางใจมหาชน ไม่ใช่ตายไปแล้วจากหัวใจของประชาชนเหมือนบางคนทุกวันนี้ (เขียนเมื่อ 4 กรกฎาคม 2554)
เมื่อเวทีภาคีไทย รวมผู้กล้าท้าทาย คสช.: ท่านจารุพงศ์-ดร.สุนัย-คุณดารุณี-คุณจอม-และดร.เพียงดิน
เมื่อเวทีภาคีไทยฯ รวมผู้กล้าท้าทาย คสช.: ท่านจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ-ดร.สุนัย จุลพงศธร-คุณดารุณี กฤตบุญญาลัย-คุณจอม เพ็ชรประดับ-และดร.เพียงดิน รักไทย จึงปรากฎตัวบนเวทีเดียวกัน ในงานประชุมใหญ่ประจำปีของภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ณ นครลอสแอนเจลีส สหรัฐอเมริกา 22 มีนาคม ศกนี้ (รายงานโดยละเอียด พร้อมภาพและวิดีโอจะตามมาเร็ว ๆ นี้)
เครดิตภาพ หนุ่มหล่อแอลเอ
"หมิ่นเบื้องสูง"... วลีที่จะต้องกำจัดไปให้สิ้นจากสังคมไทย
วลี 'หมิ่นเบื้องสูง' ดูเหมือนว่าสื่อไทยและคนไทยหัวเหลืองจำนวนมากภูมิใจเหลือเกินเมื่อได้เอ่ย ด้วยเชื่อว่าตนเองได้ทำหน้าที่พลเมืองดี คนไทยที่รักชาติ(คือต้องรักพ่อ) และเป็นคนปกป้องรักษาชาติ มีเกียรติเหนือคนที่วิพากษ์วิจารณ์เจ้า
ผมเชื่อว่า คนที่ชี้นิ้วว่าผู้อื่นด้วยความรู้สึกภูมิใจวันนี้ จะหมดไปโดยเร็ว ต่อไปนี้ การหมิ่นเจ้าแบบโจ๋งครึ่งจะเกิดขึ้น และสงครามกลางเมืองก่อนการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่คงจะเลี่ยงไม่ได้ ก็จะนำไปสู่การล่มสลายของระบบเจ้าในที่สุด จะช้าเร็ว ใครที่คิดว่าสีม่วงจะอยู่ในใจคนไทยตลอดไปอีกนานนั้น คิดผิด เพราะผมไม่เอาทั้งนั้น ไม่ว่าเหลือง ม่วง ชมภู หรือสีไหน ๆ เพราะระบบเจ้าไม่มีประโยชน์คุ้มค่ากับการรักษาไว้
แต่ก่อนที่ไปถึงวันนั้น ผมอยากบอกพวกที่ใช้วลี "หมิ่นเบื้องสูง" นั้น ควรจะอายปาก อายน้ำหน้าตัวเองยิ่งนัก เพราะทัศนะแบบพวกเขานั้น ล้าหลังสุด ๆ ดูถูกตัวเองสุด ๆ และโง่สุด ๆ เพราะยอมให้ตนเองอยู่ใต้คนอื่นอย่างไม่มีความคิด แถมจะบังคับคนอื่นให้เป็นทาสไพร่เหมือนตน
คนพวกนี้ลืมไปว่า ศาสนาทุกศาสนาสอนว่ามนุษย์ตดเหม็น มีค่าเหมือนกัน เท่ากัน คือ มีบาป หรือเป็นทาสความทุกข์ในวังวนเกิด แก่ เจ็บ และตาย ศาสนาคริสต์ถึงกับบอกว่า ทุกคนเท่ากันในสายตาพระเจ้า อย่าบังอาจให้มนุษย์หน้าไหนยกตนเหนือมนุษย์คนอื่น และไอ้พวกที่ยกตนเป็น King เหนือมนุษย์คนอื่นนั่นแหละ จะลงนรกก่อนใคร!!
และวัฒนธรรมอารยสากลในวันนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่า ศักดิ์ศรีและสิทธิมนุษยชนของมวลมนุษย์ทุกคนนั้น เท่าเทียมกัน
แต่คนที่ถือว่าอยู่ดี มีกิน มีการศึกษา และมีอำนาจวาสนาใต้ระบอบหมอบกราบ กลับพอใจที่จะได้เป็นทาสที่ได้เปรียบคนอื่น เพียงขอให้ตนได้เป็นทาสที่เลียเจ้าของทาสแล้วรู้สึกดี หรือได้รับอภิสิทธิ์เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
ผมเชื่อมั่นว่า อีกไม่นานคนไทยจะเลิกใช้คำว่า "หมิ่นเบื้องสูง" แต่จะหันมาเข้าใจคำว่า equity / equality ความเสมอภาค human dignity ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ non-jugdmental attitude ทัศนคติแห่งการไม่ตัดสินแบ่งแยกด้วยอคติ respect ความเคารพในสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีของผู้อื่น ฯลฯ แทนวลีเหี้ย ๆ ที่ดูถูกตนเองและคนอื่น โดยไม่ดูเลยว่า เบื้องสูงที่ว่า ๆ กันนั้น ที่แท้ยิ่งกว่าเสนียดในโคลนตมเหม็นเสียอีก เพราะนอกจากน่ารังเกียจแล้ว ยังมีพิษมากว่าจะมีคุณประโยชน์ซะอีก
ผมเชื่อว่า คนที่ชี้นิ้วว่าผู้อื่นด้วยความรู้สึกภูมิใจวันนี้ จะหมดไปโดยเร็ว ต่อไปนี้ การหมิ่นเจ้าแบบโจ๋งครึ่งจะเกิดขึ้น และสงครามกลางเมืองก่อนการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่คงจะเลี่ยงไม่ได้ ก็จะนำไปสู่การล่มสลายของระบบเจ้าในที่สุด จะช้าเร็ว ใครที่คิดว่าสีม่วงจะอยู่ในใจคนไทยตลอดไปอีกนานนั้น คิดผิด เพราะผมไม่เอาทั้งนั้น ไม่ว่าเหลือง ม่วง ชมภู หรือสีไหน ๆ เพราะระบบเจ้าไม่มีประโยชน์คุ้มค่ากับการรักษาไว้
แต่ก่อนที่ไปถึงวันนั้น ผมอยากบอกพวกที่ใช้วลี "หมิ่นเบื้องสูง" นั้น ควรจะอายปาก อายน้ำหน้าตัวเองยิ่งนัก เพราะทัศนะแบบพวกเขานั้น ล้าหลังสุด ๆ ดูถูกตัวเองสุด ๆ และโง่สุด ๆ เพราะยอมให้ตนเองอยู่ใต้คนอื่นอย่างไม่มีความคิด แถมจะบังคับคนอื่นให้เป็นทาสไพร่เหมือนตน
และวัฒนธรรมอารยสากลในวันนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่า ศักดิ์ศรีและสิทธิมนุษยชนของมวลมนุษย์ทุกคนนั้น เท่าเทียมกัน
แต่คนที่ถือว่าอยู่ดี มีกิน มีการศึกษา และมีอำนาจวาสนาใต้ระบอบหมอบกราบ กลับพอใจที่จะได้เป็นทาสที่ได้เปรียบคนอื่น เพียงขอให้ตนได้เป็นทาสที่เลียเจ้าของทาสแล้วรู้สึกดี หรือได้รับอภิสิทธิ์เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
ผมเชื่อมั่นว่า อีกไม่นานคนไทยจะเลิกใช้คำว่า "หมิ่นเบื้องสูง" แต่จะหันมาเข้าใจคำว่า equity / equality ความเสมอภาค human dignity ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ non-jugdmental attitude ทัศนคติแห่งการไม่ตัดสินแบ่งแยกด้วยอคติ respect ความเคารพในสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีของผู้อื่น ฯลฯ แทนวลีเหี้ย ๆ ที่ดูถูกตนเองและคนอื่น โดยไม่ดูเลยว่า เบื้องสูงที่ว่า ๆ กันนั้น ที่แท้ยิ่งกว่าเสนียดในโคลนตมเหม็นเสียอีก เพราะนอกจากน่ารังเกียจแล้ว ยังมีพิษมากว่าจะมีคุณประโยชน์ซะอีก
หากกษัตริย์ภูมิพลวิ่งปร๋อ ในวัย 95 เหมือนในวิดีโอ คนไทยคงหนาวไปอีกหนาน ฮ่า ๆ ๆ
หากกษัตริย์ภูมิพลวิ่งปร๋อ ในวัย 95 เหมือนในวิดีโอ คนไทยคงหนาวไปอีกหนาน ฮ่า ๆ ๆ
นี่อาจจะเป็นแรงจูงใจให้หลาย ๆ คน ดูแลตัวเอง แล้วอยู่ดูโลกไปอีกนานแสนนาน อาจจะทำให้คนแต่งงานช้า มีหวังจะได้เห็นลูกจบมหาวิทยาลัย แล้วได้ดูหน้าหลาน แต่... หากคนแก่เมืองไทยอายุยืนและปึ๋งปั่๋งขนาดนี้ ประเทศไทยคงแย่.... อิ๋บอ๋าย เพราะแค่อายุยืนอย่างที่เห็น ๆ แม้จะป่วยปางตาย แต่ก็ยังทำบ้านเมืองพินาศได้น่าใจหายแล้ว
Post by GYM Motivation.
หนุ่มอีสานฝีปากเด็ด ตัดเกรดประยุทธ์สิบเดือน... ต้องฟังเสียงคนรุ่นใหม่
หนุ่มอีสานฝีปากเด็ด ตัดเกรดประยุทธ์สิบเดือน... ต้องฟังเสียงคนรุ่นใหม่ สรุปผลงาน 10 เดือน รัฐบาลเผด็จการโจร คสช. ภาพรวม 30 ผลงาน (22 พ.ค.57 - 22มี.ค.58)
Sunday, March 22, 2015
อ.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน เจ้าของรางวัล 2014 Ahimsa Award จากภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ทักทายสมาชิกภาคีฯ
อ.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน เจ้าของรางวัล 2014 Ahimsa Award จากภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ทักทายสมาชิกภาคีฯ
http://youtu.be/MWIVdchpz6o
http://youtu.be/MWIVdchpz6o
แผนล้มประยุทธ์... เริ่มคืนนี้...(โปรดใช้พิจารณญาณ)
แผน การปฎิวัติ ของทหารอีกฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามประยุทธ น่าจะเริ่มคืนนี้เพราะเตรียมกันมานานละ
บอกให้เพื่อนๆ ที่เป็น ตำรวจ ที่อยู่ กทม. ระวังตัวด้วย นับพันแผน
Subscribe to:
Comments (Atom)





