มหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อการปฏิวัติประชาชนโดยสันติ Truths :: Peace :: Revolution :: Universal Human Rights :: Democracy (TPRUD)
Wednesday, March 18, 2015
เพลงโฉมหน้าศักดินา โดยวงไฟเย็น (เครดิต กงจักร ปีศาจ)
อีกเพลงหนึ่ง ที่สะท้อนภารกิจแห่งยุคของคนไทย ที่รักความก้าวหน้า
คณะการปฏิรูปแห่งชาติ ถูกประจานสันดานขี้ฉ้อ... รายชื่อผู้แต่งตั้งลูกเมียและเครือญาติรับเงินหน้าด้าน ๆ
ในกรณีการตั้งครือญาติมาช่วยงาน หลังสนช.มีมติให้ปรับเปลี่ยนออกทั้งหมด จึงใช้แนวทางเดียวกับสนช. มีมติให้สมาชิกสปช. ปรับเปลี่ยนผู้ช่วยลักษณะดังกล่าวออกทั้งหมด เพื่อเป็นมาตรฐานเดียวกัน พร้อมคณะกรรมมการบริหานข้อมูลข่าวสาร กำลังรวบรวมค่าใช้จ่าย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เวลา 2-3 เดือน เมื่อรวบรวมข้อมูลเสร็จสิ้นแล้ว เป็นสิทธิที่คณะกรรมการชุดดังกล่าว โดยทางสปช.ยินดีเพื่อความโปร่งใส และในส่วนของกระบวนการตามมติให้ผู่ช่วยลาออก จะแจ้งให้สมาชิกทราบต่อไป เป็นเพียงมติให้ปรับเปลี่ยนผู้ช่วย เป็นข้อเเนะนำ บอกกล่าว โดยเชื่อสมาชิกปฏิบัติจะตามและไม่มีเสียงขัดแย้งในมตินี้
ทั้งนี้ นายวันชัยแจงกรณีนำบุตรสาวช่วยงานว่า ตนเองนั้นไม่ถนัดด้านภาษาอังกฤษในการอ่านเอกสารการปฏิรูป แต่บุตรสาวมีความสามารถ เลยตั้งมาช่วยงาน อย่างไรก็ตาม ตนยอมรับมติ และจะให้บุตรสาวลาออกในวันพรุ่งนี้
สำหรับสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติที่ได้แต่งตั้งเครือญาติเข้ารับตำแหน่ง โดยเป็นการเปิดเผยของสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร มีรายชื่อดังนี้
1. นายกิตติภณ ทุ่งกลาง แต่งตั้ง นางสาวภัสสร ทุ่งกลาง เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน15,000 บาท
2. นางกูไชหม๊ะวันชาฟีหน๊ะ มนูญทวี แต่งตั้ง นายอาบีดีน มนูญทวี เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 15,000 บาท
3. นายจรัส สุทธิกุลบุตร แต่งตั้ง นายณรงค์ชัย สุทธิกุลบุตร เป็นผู้ชำนาญการประจำตัว รับเงินเดือน 20,000 บาท
4. นายเจริญศักดิ์ ศาลากิจ แต่งตั้ง นายพิสุทธิ์ ศาลากิจ เป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว รับเงินเดือน 20,000 บาท
5. นายทิวา การกระสัง แต่งตั้ง นายสกนธ์ การกระสัง เป็นผู้ช่วยดำเนินงาน รับเงินเดือน 15,000 บาท
6. นายธีรศักดิ์ พานิชวิทย์ แต่งตั้ง นายณัฐชนน พานิชวิทย์ เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 15,000 บาท
7. พล.อ.อ. มนัส รูปขจร แต่งตั้ง นายวัชรเดช รูปขจร เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน รับเงินเดือน 15,000 บาท
8. นายวันชัย สอนศิริ แต่งตั้ง นางสาวฉัตรทิพย์ สอนศิริ เป็นผู้ชำนาญการประจำตัว รับเงินเดือน 20,000 บาท
9. นายสยุมพร ลิ่มไทย แต่งตั้ง นายอิศร์ ลิ่มไทย เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว 15,000 บาท
10. นายสุวัช สิงหพันธุ์ แต่งตั้ง พันตรีหญิง ธัญนุช สิงหพันธุ์ เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว 15,000 บาท
11. นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ แต่งตั้ง น.ส.พนิดา สอนหลักทรัพย์ เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว 15,000 บาท
12. นางอุบล หลิมสกุล แต่งตั้ง นางสาวพนมดา หลิมสกุล เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว 15,000 บาท
ขอบคุณข้อมูลจากมติชนออนไลน์
ทั้งนี้ นายวันชัยแจงกรณีนำบุตรสาวช่วยงานว่า ตนเองนั้นไม่ถนัดด้านภาษาอังกฤษในการอ่านเอกสารการปฏิรูป แต่บุตรสาวมีความสามารถ เลยตั้งมาช่วยงาน อย่างไรก็ตาม ตนยอมรับมติ และจะให้บุตรสาวลาออกในวันพรุ่งนี้
สำหรับสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติที่ได้แต่งตั้งเครือญาติเข้ารับตำแหน่ง โดยเป็นการเปิดเผยของสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร มีรายชื่อดังนี้
1. นายกิตติภณ ทุ่งกลาง แต่งตั้ง นางสาวภัสสร ทุ่งกลาง เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน15,000 บาท
2. นางกูไชหม๊ะวันชาฟีหน๊ะ มนูญทวี แต่งตั้ง นายอาบีดีน มนูญทวี เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 15,000 บาท
3. นายจรัส สุทธิกุลบุตร แต่งตั้ง นายณรงค์ชัย สุทธิกุลบุตร เป็นผู้ชำนาญการประจำตัว รับเงินเดือน 20,000 บาท
4. นายเจริญศักดิ์ ศาลากิจ แต่งตั้ง นายพิสุทธิ์ ศาลากิจ เป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว รับเงินเดือน 20,000 บาท
5. นายทิวา การกระสัง แต่งตั้ง นายสกนธ์ การกระสัง เป็นผู้ช่วยดำเนินงาน รับเงินเดือน 15,000 บาท
6. นายธีรศักดิ์ พานิชวิทย์ แต่งตั้ง นายณัฐชนน พานิชวิทย์ เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 15,000 บาท
7. พล.อ.อ. มนัส รูปขจร แต่งตั้ง นายวัชรเดช รูปขจร เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน รับเงินเดือน 15,000 บาท
8. นายวันชัย สอนศิริ แต่งตั้ง นางสาวฉัตรทิพย์ สอนศิริ เป็นผู้ชำนาญการประจำตัว รับเงินเดือน 20,000 บาท
9. นายสยุมพร ลิ่มไทย แต่งตั้ง นายอิศร์ ลิ่มไทย เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว 15,000 บาท
10. นายสุวัช สิงหพันธุ์ แต่งตั้ง พันตรีหญิง ธัญนุช สิงหพันธุ์ เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว 15,000 บาท
11. นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ แต่งตั้ง น.ส.พนิดา สอนหลักทรัพย์ เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว 15,000 บาท
12. นางอุบล หลิมสกุล แต่งตั้ง นางสาวพนมดา หลิมสกุล เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว 15,000 บาท
ขอบคุณข้อมูลจากมติชนออนไลน์
ชำแหละประยุทธ์ โดยสาวสวยวัยใสจากต่างแดน น้องวิว แต่ละประเด็น คม ชัด กระชับ และเข้าปลายคางทุกดอก
น้องวิว พูดภาษาร่วมสมัย ไม่หยาบคายจนน่าเกลียด และแต่ละประเด็น คม ชัด กระชับ และเข้าปลายคางทุกดอก กระจกบานนี้ สวย ให้ภาพสะท้อนคมชัด ตรงตามความจริง ทั่นผู้นำ... จำเอาไว้ คนไทยไม่โง่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว และท่านจะไม่สามารถครอบงำคนยุคปัจจุบัน ที่ไม่เลือกสีเสื้อ เขามองเห็น มองออก รู้ทัน ฯลฯ
จุดจบของเผด็จการไทย... คงพอเดาออกนะครับ
UPDATE!! รู้สึกว่า น้องจะปิดหรือลบโพสต์วิดีโอนี้ไปแล้วนะครับ
เราต้องเคารพสิทธิส่วนบุคคลของเธอ...นี่แหละสังคมเผด็จการ ขนาดอยู่เมืองนอก พูดเอง ไม่เกี่ยวกับคนอื่น
ยังโดนบีบคั้นได้ เรียกว่าส่งออกความน่ากลัวข้ามทวีปกันเลยทีเดียว!!!
ชำแหละประยุทธ์ โดยสาวสวยวัยใสจากต่างแดน น้องวิว แต่ละประเด็น คม ชัด กระชับ และเข้าปลายคางทุกดอก
น้องวิว พูดภาษาร่วมสมัย ไม่หยาบคายจนน่าเกลียด และแต่ละประเด็น คม ชัด กระชับ และเข้าปลายคางทุกดอก กระจกบานนี้ สวย ให้ภาพสะท้อนคมชัด ตรงตามความจริง ทั่นผู้นำ... จำเอาไว้ คนไทยไม่โง่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว และท่านจะไม่สามารถครอบงำคนยุคปัจจุบัน ที่ไม่เลือกสีเสื้อ เขามองเห็น มองออก รู้ทัน ฯลฯ
จุดจบของเผด็จการไทย... คงพอเดาออกนะครับ
UPDATE!! รู้สึกว่า น้องจะปิดหรือลบโพสต์วิดีโอนี้ไปแล้วนะครับ
เราต้องเคารพสิทธิส่วนบุคคลของเธอ...นี่แหละสังคมเผด็จการ ขนาดอยู่เมืองนอก พูดเอง ไม่เกี่ยวกับคนอื่น
ยังโดนบีบคั้นได้ เรียกว่าส่งออกความน่ากลัวข้ามทวีปกันเลยทีเดียว!!!
นักกฎหมายนานาชาติ ยัน การใช้กฎอัยการศึก ผิดสนธิสัญญาสากล และเข้าข่ายละเมิด "Crimes Against Humanity และ Crimes Against Peace"
อาจารย์ธนบูรณ์ จิรานุวัฒน์ นักกฎหมายผู้เชี่ยวชาญด้าน International Law เตือนผู้ใช้อำนาจนประเทศไทย ว่าอย่าย่ามใจใช้อำนาจจนละเมิดหลักสนธิสัญญาสากล จนอาจจะถูกตั้งข้อกล่าวหา Crimes against Humanity/Peace.
จากสภาปกป้องประชาธิปไตย เรื่องศาลทหารของไทย กับพลเรือนไทย เมื่อกระทำการฝ่าฝืนกฏอัยการศึก ที่เป็นกฏหมาย ที่ขัด หรือ แย้ง กับ the Geneva Conventions,1949 ที่ไทยเป็นรัฐคู่ภาคี กับ สนธิสัญญานี้ จึงเป็นการที่ไทย ใช้การกระทำฝ่ายเดียว (Unilateral Action) ที่จะไปแก้ไข เพิ่มเติม พันธกรณีของตน ที่มีอยู่กับนานาชาติ ในสนธิสัญญาพหุภาคี ไทยทำได้โดยชอบหรือ?
ต่อจากนี้ คือ ข้อเตือนใจจากผมในฐานะ ที่เป็นนักกฏหมาย " ที่ประชาชน ไม่ต้องขึ้นศาลทหาร เพราะ ศาลทหารของไทย ไม่มี Uniform code of Martial Law และไม่มี Manual of Martial Court ที่ได้พํฒนารุดหน้าไปแล้ว ภายใต้กฏเกณฑ์ของ the Geneva Conventions, 1949 ในประเทศ ที่พัฒนาแล้ว
สนธิสัญญานี้ประเทศไทย ได้ไปประกาศเข้าร่วมเป็น รัฐคู่ภาคีสมาชิกของสนธิสัญญา เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ปีค.ศ.๑๙๕๔ หรือปีพ.ศ.๒๔๙๗ ที่ประเทศไทย มีพันธกรณีต่อนานาชาติ ที่ต้องปฏิบัติ.....
สนธิสัญญานี้ซ่อนเรื่อง การต้องจัดการกองทัพแผนใหม่ ไม่ให้พํฒนากลับไปเป็นเช่น กองทัพนาซีเยอรมัน ในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ จะระเบิดเกิดขึ้น แต่ไทยก็ไม่ปฏิบัติตาม ซ้ำร้ายวันนี้ the Geneva Conventions, 1949 กลายร่างเป็น Customary Rules of International Law ตามข้อบัญญัติ ของสมัชชาใหญ่ และ คณะมนตรีความมั่นคง ขององค์การสหประชาชาติ
จึงเกิดผลบังคับทันที ตามกฏหมายทั่วโลก ไม่ว่าประเทศนั้นจะได้ลงนาม และให้สัตยาบันแก่สนธิสัญญานี้หรือไม่? ก็ไม่สำคัญ
ศาลทหารไทย ไม่ตระหนักในเรื่องเหล่านี้ หากมีชาติภาคีสมาชิก ชาติใดชาติหนึ่งในสหประชาชาติ ยกเป็นประเด็นขึ้น ถกในสมัชชาใหญ่ องค์การสหประชาชาติ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตทันที ในองค์การสหประชาชาติ
ผมจึงอยากขอเตือน ท่านผู้ใหญ่ทั้งหลาย ที่คิดว่า ท่านกุมอำนาจรัฐไว้ในมือ และนำไปใช้อย่างมันมือนั้น ท่านต้องรู้จักกับ วลีที่ว่า "Crimes Against Humanity และ Crimes Against Peace" ให้ดีๆ และอย่างขึ้นใจ วลีในสองวลีนี้ จะนำ Jack Pot มาให้ท่านทั้งหลาย โดยท่านคาดคิดไม่ทัน
หากท่าน ยังคงใช้อำนาจศาลทหารอยู่ อย่างมันมือ ผมจึงขอตือนสติท่านไว้ ท่านไม่ต้องเชื่อผมในทันที ท่านมีลูกน้อง ที่ท่านใช้สอยอยู่ ท่านอาจไปดาวน์โหลดเรื่องเหล่านี้ มาศึกษาได้จากเว็บไซด์ ของICRC.org ครับ
แล้วท่าน ต้องประกาศเลิกใช้ไปเอง พร้อมกับกฏอัยการศึก ที่ท่านประกาศใช้ นี่เป็นอีกครั้ง ที่ผมต้องเตือนมายังทุกๆท่าน ด้วยความหวังดี และอย่างจริงใจ บริสุทธิ์ใจครับ.
ความหวังที่จะใช้อำนาจอุบาทว์แบบไทย ๆ ไปดำเนินคดีกับคนอเมริกัน
ยกบทความสั้น ๆ จากอาจารย์ธนบูลย์ ครับ... เห็นว่ามีประโยชน์กับพี่น้องทุกฝ่าย อ่านประดับปัญญาไว้นะครับ
ว่าด้วยเรื่องที่ทางราชการไทย จะนำสำนวนการสอบสวนในประเทศไทย พร้อมหมายจับ ไปขอความร่วมมือจากทางการสหรัฐอเมริกา เพื่อจับตัวผู้ร่วมกระทำความผิดในฐานะผู้จ้างวาน หรือ ผู้ใช้ ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย
นี่ไม่ได้ต่อต้านท่านผู้มีอำนาจ ที่มีอำนาจบริหาร(เถื่อน) อยู่ในมือ ในระบบกฏหมายสหรัฐอเมริกา ไม่เหมือนบ้านเรา ต่างกันไกลลิบลับ ไม่ใช่สำนวนสอบสวน ที่พวกคุณทำขึ้นชนิด ที่ขัดหรือแย้ง กับคำพิพากษาของ Supeme Court ของสหรัฐอเมริกา {ศาลรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ} ที่วางหลัเกณฑ์ ไว้ในคดีที่ชื่อว่า Ecobedo v. Illinois 378 U.S. 478 (1964) และคดีที่ดังลั่นไปทั้งโลก คือ Miranda v. Arizona 384 U.S. 436 (1966) ที่วางหลักเกณฑ์เอาไว้ว่าในการสอบปากคำผู้ต้องหา หรือ จำเลย จะต้องมีทนายจำเลย นั่งอยู่ต่อหน้าคนสอบปากคำตลอดเวลา เพื่อให้เป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษา
ก่อนลงมือสอบปากคำ ผู้สอบปากคำ ต้องเตือนสติจำเลยว่า "คุณมีสิทธิที่จะไม่ตอบคำถาม ผู้สอบปากคำ และมีสิทธิที่จะนิ่งเฉยเสีย" ดังที่ปรากฏข้อความในภาษาอังกฤษว่า " ํ You are entitled to remain silent..."
และห้ามไม่ให้เจ้าพนักงานตัดการคมนาคมทุกชนิด ระหว่างตัวจำเลย หรือ ผู้ถูกกล่าวหา กับญาติมิตรของเขา หรือคนที่เขาคบหาสมาคมด้วย หรือ In comicado)
ทั้งสามหลักการ ที่ผมได้บรรยายมาให้ทราบนั้น เป็นการค้ำประกันแก่จำเลย หรือผู้ต้องหาว่า คำให้การที่จำเลย หรือผู้ต้องหา ที่ได้ให้ไปกับเจ้าหน้าที่ผู้สอบปากคำเขา ได้กระทำไปโดยจำเลย หรือผู้ต้องหาในคดีอาญา มิได้ให้การปรักปรำตนเอง เป็นเหตุให้ตน ต้องคดีอาญาฯ
เป็นการค้ำประกันสิทธิแก่พลเมืองโดยทั่วไป ไม่จำกัดเชื้อชาติ และสีผิว ฯลฯ ทั้งนี้คำพิพากษาของศาล Supreme Court ของสหรัฐในลำดับหลัง เป็นหลักเกณฑ์ใหญ่ในการดำเนินคดีอาญาฯ
ที่ประเทศไทยเอง เคยไปยืมหลักเกณฑ์นี้มาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของไทย ปี พ.ศ. ๒๕๔๐..ฯ
และหลักเกณฑ์ที่ว่านี้ก็ไปปรากฏอยู่ใน(สนธิสัญญาหลายฝ่าย) กติการะหว่างประเทศว่าด้วย สิทธิพลเมือง และสิทธิในทางการเมือง ปีค.ศ.๑๙๖๖ ที่ประเทศไทย ไปประกาศเข้าร่วมเป็นรัฐคู่ภาคีของสนธิสัญญานี้ ในปีพ.ศ.๒๕๓๙ และ ต้องให้สัตยาบันด้วยแก่สนธิสัญญาฉบับนี้ สนธิสัญญานี้ มีผลบังคับประเทศไทยในวันที่ ๑ มกราคม ปีพ.ศ.๒๕๔๐
ต้องถามตรงนี้ว่า คุณส่งสำนวนสอบสวนในคดีเรื่องนี้ไปยังกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่จัดว่า เป็นกระทรวงกองทัพนักกฏหมาย เขาจะยอมทำตามที่คุณร้องขอไปหรือไม่? ในการออกหมายจับคน ที่คุณอ้างว่า "เป็นผู้ร่วมการกระทำความผิดด้วยในฐานะ ผู้จ้างวาน หรือ ผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดได้แน่หรือ?
ในเมื่อสำนวนการสอบสวนจำเลยทั้งหมดในคดีนี้ ได้จัดทำไป ขัดกับหลักกฏหมายของเขาโดยสิ้นเชิง กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา จะทำให้ไทยได้ ๒ ประการสำคัญ คือ
๑. เชิญผู้แทนกระทรวงต่างประเทศของไทย คือฑูตไทย ไปรับสำนวนการสอบสวนคืน
หรือ
๒. หากฝ่ายไทยยังดึงดัน จะให้เขารับสำนวนการสอบสวน พร้อมหมายจับตัวผู้ร่วมกระทำผิด ถ้าคนผู้นั้น มีสัญชาติอเมริกัน เขาก็ไม่ดำเนินการให้ ถ้ายังมีสัญชาติไทยอยู่ พร้อมด้วยสัญชาติสหรัฐอเมริกา ที่เรียกว่า "Dual Nationality" เขาก็จะใช้สิทธิตรงนี้ เรียกผู้แทนฝ่ายไทย พร้อมฑูตไทยไปยังกระทรวงต่างประเทศ ของสหรัฐอเมริกา พร้อมถามว่า "คุณจะรับสำนวนการสอบสวนของคุณกลับไปดีๆ หรือไม่" หากฝ่ายไทยยังคงยืนยันคำเดิม
เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ก็จะเชิญฝ่ายไทย ออกมาที่หน้ากระทรวงการต่างประเทศ พร้อมกับบอกว่า "คุณรอรับสำนวนการสอบสวนของฝ่ายคุณอยู่ตรงนี้" ว่าแล้ว ก็ขว้างสำนวนการสอบสวน พร้อมหมายจับตัวผู้กระทำความผิด ออกมาจากกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา
เอวัง ก็มีด้วยประการ ฉะนี้
ว่าด้วยเรื่องที่ทางราชการไทย จะนำสำนวนการสอบสวนในประเทศไทย พร้อมหมายจับ ไปขอความร่วมมือจากทางการสหรัฐอเมริกา เพื่อจับตัวผู้ร่วมกระทำความผิดในฐานะผู้จ้างวาน หรือ ผู้ใช้ ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย
นี่ไม่ได้ต่อต้านท่านผู้มีอำนาจ ที่มีอำนาจบริหาร(เถื่อน) อยู่ในมือ ในระบบกฏหมายสหรัฐอเมริกา ไม่เหมือนบ้านเรา ต่างกันไกลลิบลับ ไม่ใช่สำนวนสอบสวน ที่พวกคุณทำขึ้นชนิด ที่ขัดหรือแย้ง กับคำพิพากษาของ Supeme Court ของสหรัฐอเมริกา {ศาลรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ} ที่วางหลัเกณฑ์ ไว้ในคดีที่ชื่อว่า Ecobedo v. Illinois 378 U.S. 478 (1964) และคดีที่ดังลั่นไปทั้งโลก คือ Miranda v. Arizona 384 U.S. 436 (1966) ที่วางหลักเกณฑ์เอาไว้ว่าในการสอบปากคำผู้ต้องหา หรือ จำเลย จะต้องมีทนายจำเลย นั่งอยู่ต่อหน้าคนสอบปากคำตลอดเวลา เพื่อให้เป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษา
ก่อนลงมือสอบปากคำ ผู้สอบปากคำ ต้องเตือนสติจำเลยว่า "คุณมีสิทธิที่จะไม่ตอบคำถาม ผู้สอบปากคำ และมีสิทธิที่จะนิ่งเฉยเสีย" ดังที่ปรากฏข้อความในภาษาอังกฤษว่า " ํ You are entitled to remain silent..."
และห้ามไม่ให้เจ้าพนักงานตัดการคมนาคมทุกชนิด ระหว่างตัวจำเลย หรือ ผู้ถูกกล่าวหา กับญาติมิตรของเขา หรือคนที่เขาคบหาสมาคมด้วย หรือ In comicado)
ทั้งสามหลักการ ที่ผมได้บรรยายมาให้ทราบนั้น เป็นการค้ำประกันแก่จำเลย หรือผู้ต้องหาว่า คำให้การที่จำเลย หรือผู้ต้องหา ที่ได้ให้ไปกับเจ้าหน้าที่ผู้สอบปากคำเขา ได้กระทำไปโดยจำเลย หรือผู้ต้องหาในคดีอาญา มิได้ให้การปรักปรำตนเอง เป็นเหตุให้ตน ต้องคดีอาญาฯ
เป็นการค้ำประกันสิทธิแก่พลเมืองโดยทั่วไป ไม่จำกัดเชื้อชาติ และสีผิว ฯลฯ ทั้งนี้คำพิพากษาของศาล Supreme Court ของสหรัฐในลำดับหลัง เป็นหลักเกณฑ์ใหญ่ในการดำเนินคดีอาญาฯ
ที่ประเทศไทยเอง เคยไปยืมหลักเกณฑ์นี้มาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของไทย ปี พ.ศ. ๒๕๔๐..ฯ
และหลักเกณฑ์ที่ว่านี้ก็ไปปรากฏอยู่ใน(สนธิสัญญาหลายฝ่าย) กติการะหว่างประเทศว่าด้วย สิทธิพลเมือง และสิทธิในทางการเมือง ปีค.ศ.๑๙๖๖ ที่ประเทศไทย ไปประกาศเข้าร่วมเป็นรัฐคู่ภาคีของสนธิสัญญานี้ ในปีพ.ศ.๒๕๓๙ และ ต้องให้สัตยาบันด้วยแก่สนธิสัญญาฉบับนี้ สนธิสัญญานี้ มีผลบังคับประเทศไทยในวันที่ ๑ มกราคม ปีพ.ศ.๒๕๔๐
ต้องถามตรงนี้ว่า คุณส่งสำนวนสอบสวนในคดีเรื่องนี้ไปยังกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่จัดว่า เป็นกระทรวงกองทัพนักกฏหมาย เขาจะยอมทำตามที่คุณร้องขอไปหรือไม่? ในการออกหมายจับคน ที่คุณอ้างว่า "เป็นผู้ร่วมการกระทำความผิดด้วยในฐานะ ผู้จ้างวาน หรือ ผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดได้แน่หรือ?
ในเมื่อสำนวนการสอบสวนจำเลยทั้งหมดในคดีนี้ ได้จัดทำไป ขัดกับหลักกฏหมายของเขาโดยสิ้นเชิง กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา จะทำให้ไทยได้ ๒ ประการสำคัญ คือ
๑. เชิญผู้แทนกระทรวงต่างประเทศของไทย คือฑูตไทย ไปรับสำนวนการสอบสวนคืน
หรือ
๒. หากฝ่ายไทยยังดึงดัน จะให้เขารับสำนวนการสอบสวน พร้อมหมายจับตัวผู้ร่วมกระทำผิด ถ้าคนผู้นั้น มีสัญชาติอเมริกัน เขาก็ไม่ดำเนินการให้ ถ้ายังมีสัญชาติไทยอยู่ พร้อมด้วยสัญชาติสหรัฐอเมริกา ที่เรียกว่า "Dual Nationality" เขาก็จะใช้สิทธิตรงนี้ เรียกผู้แทนฝ่ายไทย พร้อมฑูตไทยไปยังกระทรวงต่างประเทศ ของสหรัฐอเมริกา พร้อมถามว่า "คุณจะรับสำนวนการสอบสวนของคุณกลับไปดีๆ หรือไม่" หากฝ่ายไทยยังคงยืนยันคำเดิม
เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ก็จะเชิญฝ่ายไทย ออกมาที่หน้ากระทรวงการต่างประเทศ พร้อมกับบอกว่า "คุณรอรับสำนวนการสอบสวนของฝ่ายคุณอยู่ตรงนี้" ว่าแล้ว ก็ขว้างสำนวนการสอบสวน พร้อมหมายจับตัวผู้กระทำความผิด ออกมาจากกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา
เอวัง ก็มีด้วยประการ ฉะนี้
Tuesday, March 17, 2015
หากคนรักสันติอย่างดร.เพียงดิน ถูกฆ่า ก็จงอย่าให้เหลือเหล่ากอเผด็จการไทย...!!!
ผมไม่ได้หลงตัวเอง แล้วคิดว่าตนเองสำคัญขนาดทหารและเครือข่ายพระราชา จะคิดกำจัดด้วยการใช้ความรุนแรงเข้าเข่นฆ่า แต่ระยะหลังนี้มีการส่งข่าว และแสดงความห่วงใยมาจากหลายทิศ ประกอบกับวัยย่างเบญจเพศ คือเข้าปีที่ 50 ก็มีคนบอกว่า จะคิด พูด และทำอะไร ก็ให้ระวัง
ผมคิดดีกับทุกฝ่าย และหวังดีกับบ้านเมือง ดังนั้น ผมก็หวังว่า ทุกฝ่ายที่มองผมเป็นศัตรูจะมองให้ดีถึงความบริสุทธิ์ที่ผมยึดถือ แต่ผมต้องประกาศไว้เลยว่า ผมไม่มีศัตรูส่วนตัวที่ไหนเลย จะมีคนเกลียดชัง คลั่งแค้น ก็คงเป็นด้วยเหตุผลการเมืองเท่านั้น และผมเชื่อว่า คงไม่มีใครทำอะไร แต่หากมันเกิดขึ้น ผมก็ขอฝากข้อคิดไว้ให้เป็นมรดกสำหรับนักปฏิวัติที่รักใคร่ชอบพอกัน ไปฟังตอนท้าย ๆ ของคลิปข้างล่างนี้นะครับ
ผมคิดดีกับทุกฝ่าย และหวังดีกับบ้านเมือง ดังนั้น ผมก็หวังว่า ทุกฝ่ายที่มองผมเป็นศัตรูจะมองให้ดีถึงความบริสุทธิ์ที่ผมยึดถือ แต่ผมต้องประกาศไว้เลยว่า ผมไม่มีศัตรูส่วนตัวที่ไหนเลย จะมีคนเกลียดชัง คลั่งแค้น ก็คงเป็นด้วยเหตุผลการเมืองเท่านั้น และผมเชื่อว่า คงไม่มีใครทำอะไร แต่หากมันเกิดขึ้น ผมก็ขอฝากข้อคิดไว้ให้เป็นมรดกสำหรับนักปฏิวัติที่รักใคร่ชอบพอกัน ไปฟังตอนท้าย ๆ ของคลิปข้างล่างนี้นะครับ
Subscribe to:
Comments (Atom)





