Tuesday, March 17, 2015

ทนายเผย"น้องแหวน"ถูกข่มขู่-ปิดตา ขณะถูกรวบตัว เกรงไม่ได้รับความเป็นธรรมจากศาลทหาร (เครดิต พี่จอม เพ็ชรประดับ)



ทนายเผย"น้องแหวน"ถูกข่มขู่-ปิดตา ขณะถูกรวบตัว เกรงไม่ได้รับความเป็นธรรมจากศาลทหาร (เครดิต พี่จอม เพ็ชรประดับ)

Published on Mar 17, 2015กรณีที่ น.ส.ณัฐธิดา มีวังปลา หรือ น้องแหวน พยานปากสำคัญในคดี 6 ศพที่วัดปทุมฯ เหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ปี 53 ได้ถูกทหารจับตัวไปอย่างเงียบๆ เมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา โดยไม่มีการแจ้งให้ญาติๆ ทราบ จนมีกระแสข่าวกดดันจากสังคม ล่าสุด ทหารได้ออกมายอมรับว่า มีการจับกุมตัวน้องแหวนไปจริง พร้อมทั้งตั้งข้อกล่าวหา ร่วมวางแผนก่อเหตุระเบิดที่ศาลอาญา รัชดา เมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา โดยศาลทหารไม่อนุญาติให้ประกันตัว พร้อมทั้งได้นำตัวไปฝากขังผลัดแรกเป็นเวลา 12 วัน นั้บตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา
นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของน้องแหวน ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia ว่า ขณะที่น้องแหวนถูกจับกุมไปนั้นถูกปิดตา และถูกข่มขู่ด้วยวาจา แต่ไม่พบการทารุณแต่อย่างใด และขณะทีทหารนำตัวน้องแหวนมาศาลทหารกรุงเท­พฯ ก็ถูกกีดกันไม่ให้ผู้ต้องหาได้รับความเป็น­ธรรม โดยไม่ให้ทนายที่ ผู้ต้องหาพึงประสงค์ ร่วมฟังการพิจารณาคดีก่อนการฝากขังด้วย ทำให้เป็นห่วงว่ากระบวนการพิจารณาคดีโดยศา­ลทหารอาจจะไม่ได้รับความเป็นธรรม และอาจจะโยงไปถึงการที่ น้องแหวน เป็นพยานปากสำคัญในคดี 6 ศพที่วัดปทุมฯ เมื่อปี 53 ด้วย





ดร.เพียงดิน คิดอย่างไร หลังการรัฐประหาร 2549 ใหม่ ๆ (บทกวี จากคาบูล อัฟกานิสถาน)

 ระวังก้าวที่ถอยหลัง::::เมื่อรถถังจากฐานกันง่าย ๆ ::::::



เมื่อปากปืนปรามปราบกำหราบเหล่า
เสียงมัวเมาเคยอึงดังผึงดับ
เสียงคนไทยไกลตาโรงนาลับ
ยิ่งถูกจับขึงขานประจานเลว

เสียงหนึ่งเสียงชาวนามีค่าไหม
นี่หรือไรเมืองสยามนามน่าเที่ยว
คนชั้นกลางถางรอบเอากรอบเดียว
พวกถือเคียงจึงรอปืนขอทาง

ปืนจักมาปิดปากลากใจหรือ
เพราะใจคือสิทธิ์ของชนผองต่าง
ปฏิวัติเมืองไทยเสียหลายทาง
แต่ยังดีเลือดล้างไม่จำเป็น

เลือดเคยหลั่งยังจำไม่หนำหรือ

คนเคยหือหดตายหายแสนเข็ญ
กว่าจะล้างเรือนปืนเป็นความเย็น
วีรชนกระเซ็นกี่ชีพวาย

เมื่อปืนตื่นจากฝันวันเมฆก่อ
ยมฑูตอาจรอต่อความหมาย
หากรถถังจากฐานกันง่ายดาย
เหตุย่อมหาง่าย ๆ หากหมายครอง

อนิจจา... ใบประชาธิปไตยไทย....
กิ่งเคยออกเรียวใบเขียวจึงหมอง
บัดนี้กิ่งถูกตัดใบร่วงกอง
คนไทยมองอย่างไร คิดไหมเอย...?


เพียงดิน ณ อดีตมหาครแห่งสันติและเสียงเพลง, คาบูล, อัฟกานิสถาน
ตุลาคม  2549



หมัดเด็ดคสช. ยัดคดีให้นักสู้เพื่อ ปชต. และความเป็นธรรม แต่ช้าก่อน...รู้ความจริงแล้วจะ "เงิบ"



ปรากฏการณ์สร้างและยัดคดี ให้กับผู้ที่อยู่ฝั่งประชาธิปไตย หรือผู้มีปากเสียงในการคัดค้าน ต่อต้าน และขัดขืนการใช้อำนาจของ "ผู้กุมอำนาจรัฐชั่วคราวด้วยการใช้กำลังทหารยึดอำนาจของประชาชน" (junta คสช) เป็นสิ่งที่เห็นกันชัดเจน และดูท่าทางพวกทหารจะมั่นใจเหลือเกินว่าจะจัดการกับหนุ่มใหญ่ใจบุญอย่างพี่อเนก ซานฟราน ได้เต็มมือ  ลงทุนสร้างภาพสานเครือข่าย  และก็มีสมุนกระจอก ๆ ออกมาบอกว่า ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน เกี่ยวข้องด้วย และกำลังลูบปากว่าจะจัดการกวาดล้างเสี้ยนหนามให้สิ้น ไม่ให้ภาคีไทยฯ​ มีฐานอยู่ซานฟรานได้อีกตอ่ไป   

ผมนั่งอ่านเกมนี้ด้วยความสบายใจ เพราะกลไกของภาคีฯ มันมีระบบป้องกันตัวเอง และเราใช้ระบบโปร่งใส ตรงไปตรงมา ตรวจสอบได้ และทำกันแบบมืออาชีพ แม้ว่าเราจะจำกัดด้วยทรัพยากรเงินทอง และศักยภาพของบุคคล แต่เราพร้อมเรียนรู้และทำงานกันด้วยหัวใจบริสุทธิ์ และการทุ่มเทเพราะรักบ้านเกิด  ดังนั้น ผมจะไม่ดำเนินการอะไรในตอนนี้ นอกจากเก็บหลักฐานว่าใครบ้าง พูดหรือเขียนอะไรไว้  และเมื่อถึงเวลา ทีมทนายอาสาของเรา ระดับฝีมือ ไม่น่าจะกลัวใครในโลก เพราะเราอยู่ข้างกฎหมายสากลที่หนักแน่น 

และด้วยความกรุณาของปราชญ์หลายท่าน เราก็ได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่เผด็จการทหารเพื่อพระราชาไทย ได้กระทำ ทีผิดต่อกฎหมายสากลจำนวนหลายกรณีและหลายเรื่อง  ตัวอย่างข้างล่างนี้ เป็นการชี้ให้เห็นส่วนหนึ่งที่เผด็จการทหารไทยทำพลาด...  ผมกราบขอบคุณปราชญ์ทางกฎหมายท่านนี้นะครับ เราไม่เคยพบหรือรู้จักกันมาก่อน แต่หัวใจที่รักความยุติธรรมและอนาคตของลูกหลานเหมือนกัน  mutual respect  จึงเป็นผลที่งดงาม  ผมขอยกข้อความที่ท่านแนะนำให้ มาแปะเตือนสติทุกคนทุกฝ่าย ว่า เราไม่ได้มีแค่อำนาจเถื่อนใต้กฎหมายเถื่อนที่กบฏได้ออกมาเอง บังคับใช้เองมานานแสนนาน โดยเฉพาะกฎหมายที่ออกมาหลังการรัฐประหารหลาย ๆ ครั้ง หรือมาตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (เช่น กฎอัยการศึก)   แต่เราอยู่ภายใต้กฎหมายสากล และสิ่งเหล่านี้แหละ ที่จะคุ้มครองประชาชนผู้บริสุทธิ์ เจ้าของอำนาจอธิปไตยโดยชอบธรรม แล้วจะไปตามล้างเอาผิดคนที่หลงละเมิดหลักสากลทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากก้าวพลาดเกินเลยที่จะให้อภัยได้ เมื่อประชาชนชนะอย่างแท้จริงแล้ว


-----------------


17 มีนาคม 2558 เรียน ดร.เพียงดิน ที่นับถือ
 นี่เป็นความเห็นทางกฏหมายของผมเกี่ยวกับเรื่องปาระเบิดศาลอาญา " ว่าด้วยเรื่องระเบิดศาลอาญาการสอบสวนปากคำพยานในคดีนี้ตั้งแต่คนแรก มาจนถึงคุณพยาบาล จะตรงกับหลักในทางกฏหมายอาญาในคดี Escobido v Illinois, 378 U.S. 478 (1964) ตามเอกสารที่ส่งมาให้ดู คำพยานจากปากคำของผู้ต้องหาทั้งหมดในคดี ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทหารสอบปากคำ หรือตำรวจ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวน สอบปากคำ หรือพลเรือน (ผู้พิพากษา) สอบปากคำ แล้วลงโทษเขา ล้วนนำมาใช้เพื่ออ้างยันจำเลย หรือผู้ต้องหาไม่ได้ เพราะ

. เป็นการสอบผู้ต้องหา หรือ จำเลย โดยไม่มีทนายคอยให้ความช่วยเหลือ ให้คำแนะนำปรึกษา ในระหว่างที่เขาถูกสอบปากคำ

.ไม่มีการเตือนจำเลย หรือผู้ต้องหาว่า คุณมีสิทธิที่จะไม่ตอบ ไม่พูด (the right to remain silent) แต่ก็ไม่ทำกันในคดีนี้

. การกระทำความผิดในคดีนี้ เป็นการกระทำผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฏหมายหลายบทหลายมาตรา เมื่อคุณไปลงโทษเขาในฐานความผิด ละเมิดอำนาจศาล โดยการจำคุก ๕ เดือน ก็จะเกิดผล

. คือการลงโทษ หรือฟ้องลงโทษเขาในการกระทำผิดครั้งเดียว ฟ้องได้หลายครั้งเพื่อลงโทษ เป็น Double Jeopardy อย่างแน่ชัด 
.หลักกฏหมายนี้ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของไทยในปีพ..๒๕๔๐ ว่าด้วยเรื่องห้ามจำเลยให้การปรักปรำตัวเอง จนต้องคดีอาญา เมื่อเป็นเช่นนี้ คดีเรื่องปาระเบิดศาลอาญา ต้องห้ามโดย Norms ของรัฐธรรมนูญ จึงฟ้องลงโทษจำเลยไม่ได้สักคนเดียว Escobedo v_ Illinois 378 U_S_ 478 (1964) Justia US Supreme Court Center.htm Miranda v. Arizona - 384 U.S. 436 (1966) Justia US Supreme Court Center.htm

 ระลึกถึงเสมอ..... 
(ขอสงวนนามท่านไว้ ด้วยความเคารพรัก)

แถมท้ายด้วยบทเขียนจากเพจฯ​ขวัญใจนักสู้เพื่อประชาธิปไตย

กูต้องได้ 100 ล้าน จากทักษิณแน่ๆ
15 นาที ·
พล็อตหนัง "‪#‎ล่าจารชนก๋วยเตี๋ยวข้ามโลก‬"

(พล็อตจากเรื่องจริง)

- - - - - - - - -

อเนก ซานฟราน เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ จนเป็นที่ปองร้ายของกลุ่มคนคลั่ง และกลุ่มผู้นำเผด็จการ และได้ลี้ภัยออกไปจากประเทศไทยนานแล้ว แต่ก็ยังมีการเคลื่อนไหวในต่างประเทศโดยการทำคลิปวิจารณ์ออกมาอย่างต่อเนื่อง คลิปของอเนก ไม่รอดพ้นสายตาของบิ๊กบราเธอร์ตู่ ที่สั่งให้มีวอร์รูม ทบ.คอยสอดส่องโลกอินเตอร์เน็ต

- - - - - - - - -

บิ๊กบราเธอร์คิดอยู่ว่าจะจัดการอย่างไรกับไอ้เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวคนนี้ดี จึงได้มีข้อเสนอจากฝ่ายเสนาธิการที่เผด็จการไว้วางใจว่า ควรจะวางแผนสร้างสถานการณ์สักครั้ง เพื่อสร้าง story โยงขบวนการต่างๆ เข้ามาเป็นกลุ่มเดียวกัน โดยเฉพาะการป้ายความผิดให้เป็นกลุ่มสนับสนุนความรุนแรง และมีการใช้อาวุธ ซึ่งเงื่อนไขการใช้อาวุธดังกล่าว จะเข้าเงื่อนไขการขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนในบางประเทศ (แม้แต่จักรภพ ที่ลี้ภัยออกไปนานแล้ว เขียนหนังสืออยู่ดีๆ ก็ยังโดนใส่ไฟว่าเป็นผู้สนับสนุนขบวนการโจรก่อการร้าย นอกจากนี้ ก็ยังมีหญิงสาวอายุ 27 ปี ที่ชื่อเปิ้ล กริชสุดา ที่เคยโดนข้อกล่าวหาเดียวกัน)

- - - - - - - - -

การโยนขี้ไปให้อเนก จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมาก เพราะอเนกอยู่อเมริกา ประกอบกับสื่อในประเทศก็อยู่ในกำมือของ คสช. จนขี้หดตดหาย ดังนั้น อเนกจึงถูกใส่ร้ายโดย คสช. และก้าวสู่การเป็นผู้สนับสนุนหลักการก่อการร้ายในประเทศไทย เพื่อที่จะทำให้ทหารได้ประกาศคงไว้ซึ่งกฎอัยการศึก และสามารถเบิกงบประมาณแผ่นดินอันเป็นภาษีของประชาชนมาใช้ได้อย่างต่อเนื่อง

- - - - - - - - -

นอกจากนี้ เพื่อให้สามารถทำลายบุคคลที่เกี่ยวข้องกลุ่มต่างๆ ได้โดยง่าย จึงต้องสร้างเรื่องราวให้มีความเชื่อมโยง แบบ cheap story (บทราคาถูกๆ ที่คนไม่ได้คิดอะไรมักจะเชื่อได้โดยง่าย) โยงไปยังบุคคลต่างๆ ในตระกูลชินวัตร เป็นการทำลายคู่แข่งทางการเมือง ด้วยการสร้างวาทกรรมทางการเมือง ที่เป็นการตีตราว่าเขาเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงโดยไม่ต้องรอการพิสูจน์ เพื่อให้กลุ่มคนที่พร้อมจะเชื่อเรื่องโกหก นำไปส่งต่ออย่างสนุกสนาน และเดี๋ยวพอคนเริ่มพูดกันปากต่อปาก คนก็จะเชื่อไปเองว่า พวกนี้นี่มันเลวจริงๆนะ สำเร็จตามเป้าหมายด้านการข่าว (ชั้นต่ำ) ของคสช.

- ดังที่เราจะเห็นได้จาก กรณีระเบิดหน้าพารากอน ที่จับตัวใครยังไม่ได้เลย เปรียบเทียบกับกรณีระเบิดศาลอาญา แถมกรณีระเบิดศาลอาญานี้ ยังถูกขยายผลด้วยการสร้างเรื่องว่า "ติดตามมานานแล้ว รู้ความเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้" แต่นี่ขนาดรู้ก่อน ... ทำไมไม่สามารถยับยั้งเหตุได้ ปล่อยให้เกิดเหตุระเบิดก่อนล่ะ ท่านๆ ลองคิดดู

- - - - - - - - -

นอกจากนี้ การควบคุมตัว พยาบาล พยานคดี 6 ศพ วัดปทุมไปก่อนหน้านี้ นานกว่า 5 วัน แล้วถึงออกมายอมรับว่า มีการจับกุมตัวไปจริง มันไม่ใช่เรื่องความมั่นคงอะไรหรอก

แต่มันคือ การเอาพยานคนนั้นไปกักตัวไว้ แล้วระหว่างนั้น ก็สร้างเรื่องให้ พยานคดี 6 ศพ ยอมรับ เพื่อหวังผลทางการเมืองที่สูงไปกว่านั้น นั่นก็คือ การลดความน่าเชื่อถือพยานลงในชั้นศาล

เพราะพยานคนนี้ เป็นพยานโจทก์ (พยานให้ฝั่งผู้เสียชีวิตจากกระสุนปืน ที่มาจากทิศทางของเจ้าหน้าที่ทหาร) ซึ่งการทำให้พยานโจทก์กลายเป็นผู้ก่อการร้ายเสียเอง ... ก็อาจทำให้พยานถูกลดความน่าเชื่อถือลง และทำให้ "ผู้สั่งการ" และหัวหน้าผู้รับสั่งการ คือ ประวิตร อนุพงษ์ และประยุทธ์ หลุดรอดความผิดและคำครหาไปได้

- - - - - - - - -

ละครเรื่องนี้ กูยังไม่รู้จุดจบ แต่กูรู้ว่าได้เริ่มเป็นเชื้อไฟสุมใจให้แก่ประชาชนคนรักประชาธิปไตยบ้างแล้ว เริ่มวางแผนต่อต้าน คสช. ตามความถนัดกันได้เลย



มองวิกฤติสู่ความล่มสลาย ของเครือข่ายราชวงศ์จักรี วิเคราะห์ตามทฤษฎีวิภาษวิธี (Dialectics)

การวิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ นั้น เราต้องมองกลไก ตัวบุคคล และองค์ประกอบอื่น ๆ ในโครงสร้างทั้งหมด เพื่อดูความสัมพันธ์ ประวัติที่ผ่านมา และสภาวะปัจจุบัน แล้วค่อยแยกแยะ ประเมิน และสร้างความเข้าใจใหม่  วันนี้เราจึงเห็นได้ชัด เรียกว่า อาการตาสว่างแล้ว ว่าปัญหาทั้งมวล มันเป็นอาการของโรคใด และสาเหตุอยู่ตรงไหน และน่าจะรู้ด้วยซ้ำ ว่าต้องแก้อย่างไร แต่เรื่องที่ยุ่งยากก็คือ การจะแก้ ก็ต้องอาศัยกลไกทุกอย่าง หลายอย่าง และต้องทำงานกันแบบที่สมควรสั่งได้ดั่งใจด้วย  เมื่อความจริงมันใหญ่เกินใครจะรวมศูนย์ไปกำหนดได้ ก็ต้องทำความเข้าใจ และทำงานกันไปอย่างดีที่สุด ประสานกันให้มากที่สุด และวางเป้าหมายไว้ให้ชัด ๆ พร้อมก้าวไปแบบ ตาดูดาว เท้าติดดิน  (ตามทฤษฎีมดแดงล้มช้าง ดู http://unrad.net/content/ เพิ่มเติม)

ไปย้อนดูบทความเก่า ๆ ที่เคยเขียน ไปพบความเห็นคุณ jakatour สมัยอยู่ประชาไท  เลยขอยกมาเป็นองค์ความรู้ครับ

----------------------------------


โพสต์โดย : jakatour
icon ID # 1488637 - โพสต์เมื่อ : 2008-12-27 06:17:25 _ ปิดข้อความ ex-link


วิเคราะห์เรื่องนี้ตามทฤษฎีวิภาษวิธี (Dialectics)
หัวใจของ วิภาษวิธี พอสรุปได้ 3 ข้อ คือ
1. วิภาษวิธี พูดถึง “ความเปลี่ยนแปลง” สิ่งต่าง ๆ ย่อมเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีอะไรหยุดนิ่ง (เป็นพลวัต-dynamic) ดังนั้นคนที่พูดว่า อะไรๆมีมานานแล้ว ไม่เปลี่ยนแปลง ก็ไม่จริง เช่น รูปแบบสังคม ความเชื่อ ภาษา แม้แต่สถาบันต่าง ๆ เป็นต้น
2. วิภาษวิธี พูดถึง “ความขัดแย้ง” สิ่งต่าง ๆ เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างบุคคล ชนชั้น แม้แต่ความคิดของเราเอง หรือแม้แต่ความขัดแย้งที่อยู่ในธรรมชาติ เช่น ทะเลและชายหาดที่สวยงามยังมีหายนะจากคลื่นซินามิ เป็นต้น
3. วิภาษวิธีให้ความสนใจกับ “ความสัมพันธ์” สิ่งต่าง ๆ ในโลกไม่ใช่ “สิ่ง” หรือ thing เฉยๆ แต่ “สรรพสิ่ง” ในตัวมันเองเป็นความสัมพันธ์ชุดหนึ่ง และสรรพสิ่งอยู่ท่ามกลางความสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆด้วยพร้อมๆกัน ดังนั้นเราจะเข้าใจโลก สังคม รวมทั้งความคิดในหัวเรา โดยไม่มองว่ามันเป็นความสัมพันธ์ไม่ได้
ตัวอย่างเช่น สถาบันต่าง ๆ ย่อมมีความเปลี่ยนแปลง ไม่อาจดำรงอยู่อย่างเดิมได้ ดูได้จากหลาย ๆ ประเทศเป็นตัวอย่างให้เห็นมากกว่า 100 ประเทศ
สถาบันต่าง ๆ มีความขัดแย้งในตัวของสถาบันเอง เช่น ความสับสนในตัวเอง ความขัดแย้งระหว่างบุคคลในสถาบัน ระหว่างบทบาทหน้าที่ ระหว่างสถาบันกับองค์กรและบุคคลภายนอก ฯลฯ
สถาบันต่าง ๆ ไม่ได้เกิดขึ้น ดำรงอยู่ หรือเปลี่ยนแปลงไปโดยตนเองเพียงลำพัง แต่สะท้อนถึงความสัมพันธ์กับบุคคล องค์กร และสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง เช่น สถาบันศักดินาเกิดจากการรวมตัวของชนชั้นสูง ที่สามารถช่วงชิงการนำในสังคม นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์กับคนที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้าไพร่ ทหาร ทาส ฯลฯ ที่ศักดินาใช้ในการเสริมสร้าง ปกป้องคุ้มครองตนเอง อันเป็นความสัมพันธ์ระดับบุคคล และท้ายที่สุดสะท้อนถึงระบบความเชื่อ ระบบการปกครอง ระบบสังคม ระบบเศรษฐกิจ ที่ศักดินาใช้ในการขับเคลื่อนสังคมที่ชนขั้นศักดินาเป็นผู้นำ
วิภาษ วิธี ยังกล่าวต่อไปว่าเมื่อเกิดสิ่งใดขึ้น จะดำรงอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง ในขณะเดียวกันความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก็ขยายตัวขึ้น จนเกิดความเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ สิ่งใหม่ที่ดีกว่านี้ดำรงอยู่ระยะหนึ่งก็จะเกิดความขัดแย้งจนถูกเปลี่ยนแปลง ไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่าอีก เป็นสภาวะที่หมุนเวียนไปแบบนี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ดังนั้น การฝืนให้คงสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้โดยไม่ยอมรับการปรับตัว การเปลี่ยนแปลง "ความขัดแย้ง" จะเกิดรุนแรง การเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้นโดยสงบสันติ เกล้ากระผมจึงขอเตือนพวกที่ภักดีแบบอนุรักษ์ได้ศึกษาทฤษฎีวิภาษวิธีอย่างใจ เป็นธรรม ปราศจากอคติ และลองนึกถึงแบบอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ ว่าสามารถอธิบายโดยทฤษฎีนี้ได้อย่างเฉียบคมเพียงใด จึงควรยอมรับว่า "ต้องมีการปรับตัว" อย่าฝืน ดีกว่าจะปล่อยให้สิ่งแวดล้อมบีบอัดมากขึ้น ๆ แล้วโอกาสของการปรับตัวจะถูกปิดและพัฒนาไปสู่การปฏิวัติสังคม
เอ้า พูดกันตรง ๆ อย่างนี้คงไม่โกรธกันนะ ถ้าไม่รักกันจริงจะไม่พูดตรง ๆ แบบนี้ ผมไม่ประจบสอพลอเพราะการประจบสอพลอนำความเสื่อมมาให้ แต่การพูดตรง ๆ นำไปสู่การป้องกันและแก้ไขปัญหาได้ดีกว่า


หากสงสัยว่าผมนำเสนอเรื่องอะไร อ่านกระทู้ข้างล่างนี้นะครับ  โปรดดูวันที่นะครับ ปลายเดือนธันวาคม 2008 ก่อนหน้าที่จะ
มีการล้อมปราบและฆ่าประชาชนแบบเถื่อน ๆ ครั้งแรกในเดือนเมษา ปีถัดมา ....​ตอนนั้น เรายังหวังว่า เจ้าไทย จะเข้าใจและยอมรับการเติบโต ของประชาชน แล้วทำพลวัตการเปลี่ยนแปลงให้เป็นทางบวก เรายังหวัง ยังเชื่อว่า เขาเป็นคนรักประชาชนจริง

แต่วันนี้น่ะเหรอ...​อิ ๆ  คำว่า ตาสว่าง ไม่ได้มาด้วยการร้องขอ แต่มาเพราะทรงพระราชทานให้ และให้แบบยกชุด...ต่อเนื่อง แบบจัดเต็ม จนวันนี้เราอิ่มจนแทบอ้วก เพราะจัดให้โดย  royal networks ครบหน้า ครับท่าน

ความกลัว และความน่ากลัว เกี่ยวเนื่องด้วยสถาบันกษัตริย์ไทย


ใครกลัวใครไม่ทราบได้
แต่ผมเห็นหน้าจอขึ้นแบบนี้ แล้วทำให้รู้สึกถึงความน่ากลัวที่ลึกลับ
มองไม่เห็น แต่เอาคนเข้าคุกได้ครับ
[รูปไม่ยอมขึ้นครับ]
คนที่คิดฉายา "มือที่มองไม่เห็น" นั้น เข้าใจคิดนะครับ
ไม่ว่าจะหมายถึงใครก็ตาม แต่คนที่ทำให้กระทู้หายไปนี่
ถือว่า คล้าย ๆ กับมือที่มองไม่เห็นจริง ๆ
ระบายเป้นกระทู้ส่งท้ายคืนนี้ครับ
==========
แวะมาเขียนต่อ เช้าวันเสาร์ (เวลาไทย)
ความกลัว น่าจะเป็น ตัวแปรหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องเกิดราวมากมาย
กลายเป็นเหมือนสิ่งที่นายกสมัคร พูดไว้ ว่า ความกลัวทำให้เสื่อม
ผมพยายามเน้นเสมอว่า ราชสำนัก อย่ากลัวประชาชน
รากที่ฝังลึกตามวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมและประเพณี ของไทยมาหลายชั่วอายุคน
มันได้ทำให้คนไทย มีจิตใจโอบอ้อมอารีย์ โดยเฉพาะต่อผู้อ่อนด้อยและใจกตัญญูต่อผู้ใหญ่
ผิดพลาดอะไรไป หากมันไม่เกินไป คนไทยให้อภัยได้ แต่อย่าให้มันเลยเส้น
แต่ความกลัวนี่แหละ ทำให้คนเราทำอะไรแบบเกินงาม เกินควร และเกินเหตุ
ยิ่งไปบวกกับความโลภ โกรธ และหลง เข้าด้วยแล้ว ก็เรียกย้อนคืนยาก
ยิ่งยังยอมให้ความหลงในฐานะ ยศศักดิ์ และอำนาจด้วยแล้ว ยิ่งยุ่ง
ทั้งหมดนี้ ทุกฝ่ายที่กลัว ต้องเข้าใจว่า การเคารพประชาชน ในฐานะคนที่มีศักดิ์ศรีและสิทธิ
การเคารพกฎหมายบ้านเมืองและหลักการประชาธิปไตย
และการเคารพในหลักศีลธรรมอย่างแท้จริง (มิใช่แค่ปาก) นั้น ต้องมีก่อนสิ่งอื่น ๆ
ในเมื่อขาด ความโลภ โกรธ หลง มันก็พล่าน
ทำผิดแล้ว ก็จะผิดต่อ เพราะไม่สำนึกผิด และไม่ยอมปรับตัว ด้วยมองไม่เห็นความจริง
พอผิดมากเข้า ก็กลัวผลผิด ระแวงทุกฝ่ายที่ตนเคยเบียดบังรังแก ในที่สุด ความกลัว
ก็ทำให้เสื่อมจริง ๆ ทุกฝ้าย
แต่เสื่อมแล้ว ไม่ใช่ยอมพุ่งลงเหว หรือดื้อดึง
ควรกลับตัวกลับใจเสีย ประชาชนไทย พร้อมจะให้อภัยง
ตอนนี้เหมือนจะสายแล้ว แต่ผมเชื่อว่า การยอมรับและแก้ไข จะดีกว่าการดื้อดึงและฝืน
กระแสธรรมชาติ
แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2008-12-27 07:04:47

โพสต์โดย : piangdin
icon ID # 1488344 - โพสต์เมื่อ : 2008-12-26 23:55:04 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข


ช่วงที่ผมกลับจากอัฟกานิสถาน ไปเยี่ยมบ้าน
เป็นครั้งแรกที่ผมไม่รู้สึกปลอดภัยเมื่อก้าวลงสู่แผ่นดินบ้านเกิด
เพราะอะไรหรือครํบ ก็เพราะกลัวโดนจับขังคุกนะสิครับ
ผมไม่ใช่คนเด่นคนดังอะไร แต่พอถูกยึดสมาชิกภาพที่ราชดำเนิน
และข้อมูลที่เขียนไว้ที่บล็อกหายไปหมด ผมเริ่มรู้สึกสงสัยว่า ตัวเองพูดอะไร
ตรงเกินไปหรือไม่ เขาจะกวาดล้างตัวเราไปด้วยหรือไม่
ผมไม่เคยมีศัตรู ไม่เคยมีคนที่เกลียดชังกันขนาดต้องปองร้ายกัน
แต่ผมกลับมีความรู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะอำนาจที่แตะต้องไม่ได้
ก็รู้ตัวทีหลังว่า ตนเองไม่ได้มีความสำคัญขนาดจะมีใครมาจับตา หรือ
จับเข้าคุก แต่ก็อดที่จะกลัวไปเองไม่ได้
คุณดา ตอปิโด ถูกจับยัดคุก จนป่านนี้ ยังออกมาไม่ได้ ใครก็ช่วยไม่ได้
ผมเอง แม้เจตนาจะดียังไง แต่ดูเหมือนว่า สังคมไทยยังยอมรับไม่ได้
ไม่รู้จะต้องรอไปอีกนานเท่าไหร่
แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2008-12-27 00:41:00


เรื่องด่วนที่ต้องคิดและทำ: เมื่อฝนตกขี้หมูไหล แล้วคนจัญไรมาสมคบกันทำลายประชาธิปไตย

เขียนไว้เมื่อปลายปี 2008 เราปล่อยให้ทุกอย่างมันไหลต่ำลงมาจนถึงวันนี้ได้อย่างไร???



Friday, December 26, 2008


เรื่องด่วนที่ต้องคิดและทำ: เมื่อฝนตกขี้หมูไหล แล้วคนจัญไรมาสมคบกันทำลายประชาธิปไตย

ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน

รู้สึกท่านทักษิณจะยกขึ้นมาพูดอธิบายปรากฎการณ์ก่อนรัฐประหารนะครับ
เอ... หรือท่านสมัคร ช่วงที่ยังจัดรายการ สมัยท่านทักษิณเป็นนายกฯ
ซึ่งตอนหลัง คุณจักรภพ ก็นำมากล่าวถึงบ่อย ๆ

ถือเป็นการเปรียบเปรยที่ตรงที่สุด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยที่ลามมาถึงวันนี้นั้น
มันทำกันเป็นกระบวนการ เกิดจากการมารวมตัวกันโดยนัดหมาย ของเหล่าผู้เสียประโยชน์
และเสียสิ่งอื่น ๆ (ยศศักดิ์ หน้าตา รวมอยู่ด้วย) ในช่วงที่รัฐบาลทักษิณบริหารอยู่

การเปรียบเทียบนี้ ให้ข้อเตือนใจว่า ปัญหาการเมืองไทยเรานี้ มันมีหลายตัวละคร เสือ
สิงห์ กระทิง แรด นักการเมืองกระสือและเปรต อันธพาล คนตอแหล และเทวดาท่าจะเจ๊ง
การจะโทษใครคนใดคนหนึ่งและมุ่งไปที่จุดเดียวนั้น ย่อมแก้ปัญหาได้ไม่หมด

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ ดูเหมือนว่า หอกจะพุ่งตรงไปที่ตัวละครที่เด่น ๆ ที่สุดในละครบท
ล่าสุด คือ
สถาบันฯ ซึ่งคนเชื่อกันว่า ลดองค์ลงมาเกลือกกลั้วขี้หมูเอง แถมผลิตพระอุจจาระ
ของตัวเองไปผสมด้วย ก็เลยถูกเพ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ส่วนอีกหนึ่งที่ต้องถูกโจมตีอย่าง
หนักขณะนี้คือ พรรคประชาธิปัตย์ และด้วยสันดานและพฤติกรรมไม่เข้าท่าของพรรคนี้ จึง
ไม่ต้องอธิบายความซ้ำว่าทำไม คนจึงเกลียดชังพรรคนี้

การตามล้างตามเช็ดขี้และอุจจาระข้างบนนี้ ทำได้ไม่ง่าย เพราะอำนาจอยู่ในมือพวกเขา
เสียเกือบสิ้น ทั้งศาลเพียงตีนและกลุ่มองค์กรทำตามอิสระได้ดังใจไม่ต้องดูกฎหมายและความ
ชอบธรรม ล้วนอยู่ในอาณัติหรือเป็นพันธมิตรกับสองกลุ่มที่เป็นเวรเป็นกรรมกับประชาธิปไตย
นี้สิ้น

แต่เราอย่าหลงจ้องแค่สองตัวการสำคัญนะครับ พี่น้อง

การจะล้างคอกขี้หมูและสิ้งโสโครกของประชาธิปไตยนั้น ต้องทำทั้งทางโครงสร้างและส่วน
ย่อยทั้งหมด การเคลื่อนไหวของเรา

ส่วนในแง่โครงสร้าง นั้น ต้องบีบให้มีการแก้รัฐธรรมนูญและจัดการให้กฎหมายบ้านเมืองศักดิ์สิทธิ์
อีกครั้งหนึ่งให้ได้ การแก้รัฐธรรมนูญ น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องทำให้ได้ ชัยชนะใด ๆ ที่ได้มา
ในระยะใกล้นี้ หากไม่ได้แก้รัฐธรรมนูญ แล้วปิดส่วนที่ก่อปัญหา แล้วเติมส่วนที่จะป้องกัน
การทำร้ายประชาธิปไตยเสียให้เด็ดขาดแล้ว ชัยชนะใด ๆ ก็เป็นได้แค่เพียงการเรอชั่วครั้ง
ชั่วคราวหลังอาหาร ไม่ได้มีผลถาวรใด ๆ ขณะเดียวกัน การกำหนดบทบาทของสถาบันฯ
ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางของปัญหานั้น ก็ต้องทำให้ได้ มิเช่นนั้น ก็เหมือนข้อผิดพลาด
ที่เกิดขึ้นเมื่อ 2475 นั่นเอง วงจรปัญหามันจะไม่ได้รับการแก้ไข

ขณะเดียวกัน เราก็ต้องจัดการกับรายละเอียดย่อย ๆ
ให้เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตยด้วย

คมช. อยู่ไหน ไหนว่า เป็นกบถ ฯลฯ ไหนว่าพวกเขาทำร้ายบ้านเมืองให้เสียหาย เอามาจัดการเสีย
ทรัพย์สินที่ได้ไป ต้องเอาคืน และต้องเอาพวกเขาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สำเร็จโทษเสีย


พันธมิตรฯ ที่ไม่เป็นมิตรกับประชาธิปไตย ทำผิดชั่วมากมาย เอามาจัดการให้ได้ อย่าให้เป็น
เยี่ยงอย่าง ส่วนจะสางถึงไหน ก็ต้องสางไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ที่สำคัญ อย่า
ให้อ้ายพวกนี้ ออกมาซ่าได้อีก ใช้ใครได้ก็ต้องใช้ทั้งทางลับและแจ้ง เพื่อกำจัดตัวมอด
เหล่านี้ให้เด็ดขาด นี่สนธิก็ออกมาแฮ่ม ๆ ตามสันดานเดิมใส่ประชาธิปัตย์อีกละ


นักการเมืองที่ทำตัวหลากหลายในช่วงบ้านเมืองย่ำแย่ ก็คงต้องนำออกมาเรียงตัวตัดสิน
ใครทรยศประชาชน ต้องมีมาตรการจัดการให้เด็ดขาด


พวกองค์กรอิสระผิดกฎหมายทั้งหลายที่ท่านสมัคร คุณวีระและคณะฯ ได้หมายหัวเอาไว้
ต้องถูกดำเนินการทางกฎหมาย เงินเดือนที่เอาไปผิด ก็ต้องเรียกคืน

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มอื่น ๆ ที่มีส่วนทำให้บ้านเมืองย่ำแย่
รวมถึงพ่อค้า นักธุรกิจ ตำรวจ ทหารทั้งหลายและใครที่สนับสนุนเบื้องหลัง ก็ต้องดึง
ออกมาสั่งสอนเสียให้เข็ดหลาบด้วยวิธีที่เป็นไปได้
อย่างกรณีการถอนเงินจากธนาคารกรุงเทพฯ เป็นต้น ฯ
หรืออย่างกรณีทหาร ก็ต้องเอาแรงบีบจากนอกประเทศเข้ามาช่วย

ที่สำคัญ ตอนนี้เราคงต้องจับตาดูกลโกง ที่พวกที่ได้อำนาจใหม่ ๆ จะพยายามใช้ เพื่อดูดทรัพย์
เตรียมไว้เพื่อสู้ทางการเมืองในอนาคต ใครโกง ใครส่อแวว เราต้องดักทางเสียให้ครบ

ไหนจะมีเรื่องสื่ออีก... ตอนนี้ทำอะไรได้ ต่อไปต้องทำอะไร


สรุปที่ผมยกอะไรมาเปรอะไปหมดนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ฝนตกใส่ประเทศไทยครั้งนี้ นานกว่า
สองปีแล้วนี้นั้น ขี้หมูและอุจจาระที่มาปนกันนั้น มันมาจากหลายแหล่ง และก็เปรอะไปทั่ว
การจะชำระล้าง ต้องทำจากหลายมุม และต้องอาศัยเครื่องมือหลายประเภท และคนหลายคน
เราทำอะไรกันหลายอย่างอยู่แล้ว แต่มันไม่พอ ไม่ประสาน และไม่ได้ผลชัดเจน


คำถามที่ต้องถามต่อก็คือ คนสีแดงทุกวิชาชีพ พรรคเพื่อไทย และนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย
ต้องทำอะไรกันบ้าง ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว อันไหนมาก่อนมาหลัง
ใครทำ และจะมีการจัดองค์กร ประสานงานกันอย่างไร ใครเป็นหัวเป็นหาง
และจะกระจายความเข้าใจและขยายมวลชนอย่างไรบ้าง
เหล่านี้เป็นรายละเอียดที่ฝ่ายสีแดงยังขาดอยู่มาก


การรวมตัวกันของกลุ่มต่าง ๆ นี้ น่าชื่นชม แต่ก็ยังหลวมอยู่มาก
และความเห็นและเป้าหมายก็ต่างกันอยู่พอสมควร บางคนอยากรวมกลุ่ม บางคนอยากเป็นเอกเทศ
ซึ่งไม่ผิด เพราะเรามีหลายเป้าต้องดำเนินการ แต่เราจะขาดภาพรวมและแผนการณ์
ที่ชัดเจน สอดคล้อง และเฉียบคมอีกต่อไปไม่ได้แล้ว ฝ่ายประชาธิปไตยต้องเร่งมือ
มองภาพกว้าง ภาพย่อยให้ชัด จัดองค์กรและแจกงานให้เรียบร้อย
งานนี้ไม่ใช่ง่ายครับ คุณวีระและคณะฯ จัดคนไปชุมนุมนั้น ดีแล้วครับ แต่ไม่พอหรอกครับ
ยังห่างไกลจากสิ่งที่ต้องทำอย่างมาก

อย่าให้มัน too little, too late ไปนะครับ

วิสัยทัศน์ ดร.เพียงดิน รักไทย ว่าด้วย เป้าหมายการเปลี่ยนระบอบ 15 ข้อ (20 มกราคม 2558)



วิสัยทัศน์ ดร.เพียงดิน รักไทย ว่าด้วย เป้าหมายการเปลี่ยนระบอบ 15 ข้อ
(20 มกราคม 2558)

ชวนคิดชวนคุย เป็นความปรารถนาส่วนตัว แต่ที่สุดแล้ว มันขึ้นอยู่กับคนไทยส่วนใหญ่ว่า ท่านอยากจะให้เมืองไทย มีอนาคตให้ลูกหลายอย่างไร
พวกท่านทุกคน มีส่วนรับผิดชอบร่วมกัน  สร้างบ้านแปงเมืองให้ลูกหลานด้วยกัน




คลิปแนะนำ: รายการ ยืนหยัด ปรัชญา ตอน ก้าวสู่สาธารณรัฐ

 

ไม่มีคำบรรยายใด ๆ